ช่วยตอบด้วยครับ | |
ผมมีเรื่องจะเรียนปรึกษาครับ
เรื่องมีอยู่ว่า บิดาของผมเคยมีเรื่องกับเพื่อนบ้านมานานแล้วและเคยขึ้นศาลมาครั้งหนึ่งโดยพ่อผมเป็นผู้เสียหาย แต่ศาลตัดสินยังไงผมไม่ทราบเนื่องจากตอนนั้นผมยังเล็กอยู่
และต่อมาประมาณเดือนที่ผ่านมาพ่อก็ได้โดนคนที่มีเรื่องอยู่ก่อนนั้นใช้มีดสปาต้าฟันโดนที่หัวใหล่ด้านซ้าย
โดยบิดาผมบอกว่าบิดาได้ยกหัวใหล่และแขนขึ้นมาป้องกันทำให้โดนที่หัวใหล่ และในจังหวะต่อมาพี่ชายก็ได้มาพบเหตุการพอดีจึงได้เข้าไปแยกบุคลทั้ง2ไม่ให้วิวาทกันและพี่ชายบอกว่าถ้าเข้าไปห้ามไม้ทันพ่ออาจตายได้เนื่องจากฝ่ายนั้นเข้ากำลังจะแทงซ้ำ (เหตุเกิดที่ข้างบ้านผมแต่เป็นที่สาธาณณะ)ต่อมาพ่อก็ได้เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้ต้องหาก็ได้ต่อสู่คดีโดยบอกว่าเขาไม่ได้ใช้มีดสปาต้าฟันแต่ใช้เคียวเกี่ยวหญ้าป้องกันตัว และเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ดำเนินคดี และยื่นฟ้องในข้อหาทำร้ายร่างกายทำให้บาดเจ็บสาหัส ผมอยากทราบว่า
1. คดีนี้เป้นคดีพยายามฆ่าหรือไม่ครับ
2. เราควรมีทนายยื่นฟ้องเป็นโจทก์ร่วมหรือไม่ครับ
3. ถ้าเป็นคดีทำร้ายร่างกายจริงจะมีโทษหนักหรือเปล่าวครับ
4. ถ้าพนังานอัยการมีความเห็นเหมือนกับพนักงานสอบส่วนผมควรทำอย่างไรดีครับ
-ผมเป็นคนจน
-เข้ามีเส้นตำรวจ
-กลัวมีปัจจัยอื่นๆตามมา | |
ผู้ตั้งกระทู้ ผู้ต้องการช่วยพ่อ :: วันที่ลงประกาศ 2010-08-05 13:46:35 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (3228703) | |
1. คดีนี้เป้นคดีพยายามฆ่าหรือไม่ครับ ตอบ---ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาไปตามพยานหลักฐานครับ ตามปกติแล้วตำรวจไม่เคยพลาดที่จะแจ้งข้อกว่าไป(เกิน)ตามความจริงอยู่แล้วครับ เรื่องนี้น่าจะสบายใจได้ครับ 2. เราควรมีทนายยื่นฟ้องเป็นโจทก์ร่วมหรือไม่ครับ ตอบ--เป็นสิทธิของเราอยู่แล้วครับ สามารถทำได้ครับ 3. ถ้าเป็นคดีทำร้ายร่างกายจริงจะมีโทษหนักหรือเปล่าวครับ ตอบ-- มาตรา 297 ผู้ใดกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย จนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำร้ายรับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี 4. ถ้าพนังานอัยการมีความเห็นเหมือนกับพนักงานสอบส่วนผมควรทำอย่างไรดีครับ -ผมเป็นคนจน -เข้ามีเส้นตำรวจ -กลัวมีปัจจัยอื่นๆตามมา
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมาย | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2010-08-06 11:07:19 |
ความคิดเห็นที่ 2 (3234709) | |
ดิฉันมีเรื่องจะปรึกษาค่ะ เรื่องมีอยู่ว่ามีเพื่อนบ้านมาจ้างแม่ของดิฉันไปทำไร่ ปลูกมันสำปะรัง โดยนายจ้างบอกว่าป็นที่ของ เขา เขาได้ซื้อไว้ โดยไม่รู้ว่าเป็นที่ป่าสงวน แล้วถูกจับข้อหาบุกรุกที่ป่าสงวน ตอนนี้กำลังขึ้นอยู่ จึงอยากทราบแม่ของดิฉันจะต้องรับโทษหรือเปล่าค่ะ เพราะเขาไม่ทราบและไม่มีเจนาที่เข้าไปบุกรุกจริงๆ และถ้าได้รับโทษอัตรโทษเท่าไรค่ะ
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น คดีบุกรุกที่ป่าสงวนกรณีเป็นลูกจ้าง (pattama-udom-at-windowslive-dot-com)วันที่ตอบ 2010-08-21 14:18:35 |
ความคิดเห็นที่ 3 (3234749) | |
อยากทราบแม่ของดิฉันจะต้องรับโทษหรือเปล่าค่ะ เรื่องผิดหรือไม่ผิดคงต้องรอให้ศาลตัดสินดีกว่าครับ เพราะถ้าไม่ผิดพนักงานอัยการเขาก็คงสั่งไม่ฟ้อง แต่เมื่อพนักงานอัยการสั่งฟ้อง ก็ต้องต่อสู้คดี เป็นเรื่องการพิจารณาคดีในชั้นศาล จึงไม่อาจคาดเดาเองได้ครับ เพราะมีองค์ประกอบหลายอย่างครับ
คำถามว่า -ถ้าได้รับโทษอัตรโทษเท่าไรค่ะ ตอบ - ในกรณีบุกรุกป่าสงวน เมื่อศาลเห็นว่าจำเลยมีความผิด เคยตัดสินไว้ดังนีครับ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 จำคุ 9 ปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่2087/2539 พนักงานอัยการจังหวัดตรัง โจทก์ แม้จำเลยจะซื้อสิทธิครอบครองที่ดินจากบุคคลผู้ครอบครองที่ดินมาก่อนที่ทางการจะประกาศให้เป็นป่าสงวนแห่งชาติก็เป็นเพียงแสดงว่าเฉพาะตัวผู้ที่ขายสิทธิครอบครองให้แก่จำเลยขาดเจตนาที่จะบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติเท่านั้น เมื่อปรากฏว่าที่ดินที่จำเลยซื้อได้มีกฎกระทรวงประกาศเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2529 จำเลยเบิกความว่าได้ซื้อมาระหว่างปีพ.ศ. 2530 ถึงปี 2535 จึงเป็นระยะเวลาที่รัฐประกาศให้ที่ดินดังกล่าวเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติแล้วและจำเลยก็ทราบดีว่าที่ดินดังกล่าวเป็นป่าสงวนแห่งชาติ การที่จำเลยเข้ายึดถือครอบครองที่ดินป่าสงวนจึงมีความผิดตาม พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14 และยังมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 54 ซึ่งบัญญัติห้ามยึดถือครอบครองป่าเช่นกันด้วย โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันเวลาและเดือนใดไม่ปรากฏชัดปี 2530 ถึงวันที่ 9 มิถุนายน 2535 เวลากลางวันต่อเนื่องกันจำเลยได้ก่นสร้างแผ้วถางทำไม้และเข้ายึดถือครอบครองป่าและที่ดินเพื่อตนเองในเขตป่าคลองกะลาเสและคลองไม้ตายโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่และไม่ได้รับการยกเว้นตามกฎหมายเป็นเนื้อที่ 496 ไร่ 2 งาน 72 ตารางวาอันเป็นการทำลายป่าและเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าซึ่งเป็นป่าสงวนแห่งชาติเหตุเกิดที่ตำบลไม้ฝาดอำเภอสิเกาจังหวัดตรัง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 54, 72 ตรี พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14,31 ให้จำเลยและบริวารออกไปจากเขตป่าสงวนแห่งชาติ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 54วรรค หนึ่ง, 72ตรีว รรคสอง พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 14 วรรคหนึ่ง,31วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 จำคุก 9 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา78คงจำคุก6ปีให้จำเลยและบริวารออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า"พิเคราะห์แล้ว คดีฟังเป็นยุติในชั้นนี้โดยคู่ความมิได้โต้เถียงกันว่าที่ดินจำนวนประมาณ 496 ไร่ 2 งาน 72 ตารางวา ที่จำเลยและนายสุพจน์ น้องชายจำเลยได้ซื้อมาจากผู้ขาย 13 รายซึ่งเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในเขตที่ดินป่าคลองกะสาเสและป่าคลองไม้ตาย ตำบลกะลาเส ตำบลเขาไม้แก้ว ตำบลบ่อหินและตำบลไม้ฝาดอำเภอสิเกาจังหวัดตรัง ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศให้เป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติปรากฏตามเอกสารหมายล.1 และ ป.ล.1 โดยปรากฏว่าผู้ที่ขายที่ดินให้จำเลยและน้องชายจำเลยเป็นผู้ที่ได้ครอบครองที่ดินมาก่อนที่จะประกาศให้เป็นป่าสงวนแห่งชาติและผู้ครอบครองได้ไปร้องแจ้งสิทธิการครอบครองไว้ภายใน 90 วันนับแต่วันที่ได้ประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติแล้วปรากฏตามหลักฐานการแจ้งสิทธิการครอบครองเอกสารหมาย ป.ล.2 มีปัญหาที่จะต้องพิจารณาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 และมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 หรือไม่เห็นว่าในข้อหาความผิด ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติจำเลยนำสืบว่าได้ซื้อสิทธิครอบครองจากบุคคลผู้ครอบครองที่ดินมาก่อนที่ทางการจะประกาศให้เป็นป่าสงวนแห่งชาติโดยข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามข้ออ้างของจำเลยดังกล่าวก็เป็นเพียงแสดงว่าเฉพาะตัวผู้ที่ขายสิทธิการครอบครองให้แก่จำเลยดังกล่าวขาดเจตนาที่จะบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติเท่านั้นแต่สำหรับจำเลยผู้รับโอนสิทธิครอบครองจากบุคคลดังกล่าวจะอ้างสิทธิครอบครองที่ได้รับโอนมาได้ก็แต่ราษฎรด้วยกันเองเท่านั้นแต่ในเรื่องที่ผู้ใดกระทำผิดกฎหมายหรือไม่สำหรับกรณีนี้นั้นเป็นเรื่องเฉพาะตัวหรือเหตุเฉพาะตัวของผู้กระทำจำเลยจะอ้างว่าได้รับโอนสิทธิและขาดเจตนาบุกรุกป่าสงวนเช่นกันหาได้ไม่เพราะเป็นการอ้างเหตุเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นผิดและเป็นการอ้างในลักษณะที่ว่าตนเองไม่รู้ว่ากฎหมายบัญญัติห้ามไว้เช่นนั้นเมื่อปรากฏว่าที่ดินที่จำเลยซื้อได้มีกฎกระทรวงประกาศเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติเมื่อวันที่12มิถุนายน2529จำเลยเบิกความว่าได้ซื้อมาระหว่างปี2530ถึงปี2535จึงเป็นระยะเวลาที่รัฐประกาศให้ที่ดินดังกล่าวเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติแล้วและจำเลยก็ทราบดีว่าที่ดินดังกล่าวเป็นป่าสงวนแห่งชาติการที่จำเลยอ้างว่าได้ก่นสร้างเฉพาะต้นไม้ที่ผู้ขายได้ปลูกไว้มิได้ทำลายป่าไม้ส่วนอื่นนั้นเห็นว่าต้นยางต้นมะม่วงและต้นมะพร้าวที่ผู้ขายปลูกไว้เป็นไม้ยืนต้นมีลักษณะติดตรึงตรากับที่ดินที่เป็นป่าเป็นส่วนควบกับที่ดินป่าจึงเป็นส่วนหนึ่งของป่าสงวนการไปตัดทำลายก็เป็นการทำลายป่าสงวนแต่จะอย่างไรก็ตามการที่จำเลยยอมรับว่าได้เข้ายึดถือครอบครองที่ดินป่าสงวนดังกล่าวโดยการแสดงบอกกล่าวต่อเจ้าหน้าที่และแสดงหลักฐานการเสียภาษีบำรุงท้องที่อันเป็นหลักฐานแสดงออกถึงการครอบครองที่ป่าสงวนดังกล่าวกรณีก็เป็นความผิดตามมาตรา14แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ.2507แล้วเพราะบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวห้ามบุคคลใดเข้ายึดถือครอบครองป่าสงวนข้ออ้างของจำเลยจึงไม่เป็นเหตุให้จำเลยพ้นผิดสำหรับข้ออ้างตามฎีกาของจำเลยเกี่ยวกับพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ.2484ที่ว่าจำเลยเป็นเพียงผู้ซื้อสิทธิครอบครองต่อจากราษฎรที่ยึดถือครอบครองอยู่ก่อนเท่านั้นมิได้กระทำการก่นสร้างแผ้วถางป่าหรือกระทำด้วยประการใดๆอันเป็นการทำลายป่านั้นเห็นว่าพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ.2484มาตรา54ก็ได้บัญญัติห้ามยึดถือครอบครองป่าเช่นกันฉะนั้นการที่จำเลยเข้ายึดถือครอบครองป่าจึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ดังกล่าวถึงแม้จำเลยจะมิได้กระทำการก่นสร้างทำลายป่าก็ตามเมื่อการที่รัฐประกาศเขตท้องที่ดังกล่าวเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติก็มิได้กระทำให้ป่าส่วนนั้นหมดสภาพจากการเป็นป่าที่ดินดังกล่าวก็ยังมีสภาพเป็นป่าอยู่เช่นเดิมมิได้ทำให้การเป็นป่าอยู่แต่เดิมสิ้นสภาพไปการที่จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองจึงเป็นการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ดังกล่าวด้วยที่ศาลอุทธรณ์ภาค3พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ.2507และมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ.2484ชอบแล้ว สำหรับฎีกาของจำเลยที่ขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยนั้นเห็นว่าจำเลยเพียงเป็นผู้ซื้อสิทธิการครอบครองและเข้ายึดถือครอบครองป่าสงวนต่อจากบุคคลอื่นเมื่อเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบจำเลยก็ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงในการที่ได้ซื้อมาให้เจ้าหน้าที่ทราบพาไปดูเขตที่ดินแจ้งจำนวนเนื้อที่ดินที่ซื้อมาแสดงใบเสร็จการเสียภาษีแสดงหลักฐานคำร้องอ้างสิทธิการครอบครองของผู้ขายให้เจ้าหน้าที่ทราบเป็นการให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่จำเลยเคยรับราชการครูขณะรับราชการได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ได้รับเหรียญกาชาดสมนาคุณได้รับประกาศเกียรติคุณบัตรปรากฏตามภาพถ่ายท้ายฎีกาหมายเลข1ถึง3และรับราชการครูมาจนเกษียณอายุแสดงว่าจำเลยเป็นผู้ประพฤติดีมาตลอดการกระทำของจำเลยจึงเป็นเรื่องที่จำเลยมิได้กระทำความผิดเพราะเหตุที่จำเลยมีสันดานเป็นผู้ร้ายเมื่อได้พิจารณาประกอบกับว่าจำเลยเป็นหญิงปัจจุบันอายุประมาณ66ปีและไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อนด้วยแล้วกรณีมีเหตุสมควรให้จำเลยปรับตัวให้เข้ากับสังคมเป็นพลเมืองดีต่อไปที่ศาลอุทธรณ์ภาค3ลงโทษจำคุกจำเลย9ปีหนักเกินไปสมควรกำหนดโทษให้เบาลงตามสมควรแก่โทษและรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น" พิพากษาแก้เป็นว่าให้ลงโทษจำคุก3ปีปรับ150,000บาทลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา78หนึ่งในสามคงจำคุก2ปีปรับ100,000บาทโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด3ปีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา56ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา29,30ให้คุมประพฤติจำเลยโดยให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรไม่น้อยกว่า30ชั่วโมงภายในกำหนดเวลารอการลงโทษให้จำเลยไปติดต่อพนักงานคุมประพฤติเพื่อดำเนินการดังกล่าวภายในกำหนด30วันนับแต่วันฟังคำพิพากษาศาลฎีกานอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค3 (กอบเกียรติรัตนพานิช-สมมาตรพรหมานุกูล-ชลอบุณยเนตร) หมายเหตุ (1)สิทธิครอบครองซึ่งเป็นทรัพยสิทธิย่อมโอนกันได้โดยส่งมอบทรัพย์สินที่ครอบครอง(ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1378)เป็นวัตถุไม่มีรูปร่างซึ่งอาจมีราคาและถือเอาได้จึงเป็นทรัพย์สิน(มาตรา138)ย่อมซื้อขายกันได้(มาตรา453)โดยปกติถ้าเป็นทรัพย์สินโดยทั่วไปและเป็นสิทธิครอบครองอสังหาริมทรัพย์เพราะเป็นทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับที่ดินหรือทรัพย์อันติดอยู่กับที่ดินฯลฯ(มาตรา139)การซื้อขายสิทธิครอบครองซึ่งเป็นนิติกรรมก็ย่อมต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา456มิฉะนั้นย่อมเป็นโมฆะ (2)การส่งมอบสิทธิครอบครองก็คือการโอนการครอบครองซึ่งเป็นข้อเท็จจริงเหมือนกันไม่เกี่ยวกับกฎหมายเป็นหน้าที่ของผู้ขายที่จะต้องส่งมอบให้แก่ผู้ซื้อ(มาตรา461)แต่การซื้อขายซึ่งเป็นนิติกรรมสัญญาเป็นบุคคลสิทธิเป็นคนละเรื่องกับการได้สิทธิครอบครองซึ่งเป็นทรัพยสิทธิแม้จะซื้อขายรับโอนส่งมอบกันมาแล้วซึ่งต้องหมายความว่าต้องเข้ายึดถือโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตนจึงจะได้สิทธิครอบครอง(มาตรา1367)แต่ตอนหลังอาจไม่ได้ยึดถือโดยเจตนายึดถือเพื่อตนจึงไม่ได้สิทธิครอบครองก็ได้ (3)ตามคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้จำเลยได้สิทธิครอบครองที่ดินจากบุคคลภายนอกผู้ครอบครอง(หมายความว่าบุคคลภายนอกมีสิทธิครอบครองอยู่ก่อน)โดยวิธีซื้อแม้การซื้อขายสิทธิครอบครองที่พิพาทจะไม่ได้ทำเป็นหนังสือจดทะเบียน(สิทธิครอบครองป่าสงวนแห่งชาติเช่นกรณีนี้พนักงานเจ้าหน้าที่คงไม่ยอมจดทะเบียนการซื้อขายให้แน่)แต่ในทางข้อเท็จจริงนั้นไม่เกี่ยวกับกฎหมายเมื่อจำเลยรับโอนการครอบครองมาโดยได้ยึดถือและเจตนาจะยึดถือเพื่อตน(หมายความว่าเพื่อประโยชน์ของตนไม่ต้องถึงขนาดมีเจตนาเป็นเจ้าของ)จำเลยจึงได้สิทธิครอบครอง
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2010-08-21 18:04:19 |
[1] |