

รับเงินไปโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ รับเงินไปโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้เป็นเรื่องลาภมิควรได้ การฟ้องคดีเป็นเรื่องฟ้องเรียกทรัพย์คืนหรือเรื่องลาภมิควรได้? โจทก์คืนเงินให้นายอภิชัยครั้งแรกโดยโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากร้าน เอ.ที.เอ็ม. คอนสตรัคชั่น ส่วนการคืนเงินให้จำเลยในครั้งหลังสั่งจ่ายเป็นแคชเชียร์เช็คก็ตาม กรณีเป็นเพียงวิธีคืนเงินโดยฝากเข้าบัญชีเงินฝากเท่านั้น การที่โจทก์ใช้สิทธิฟ้องจำเลยให้คืนเงินที่รับไปนั้น เป็นเรื่องที่กล่าวอ้างว่าจำเลยรับเงินไปโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้และเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ กรณีจึงเป็นเรื่องลาภมิควรได้มิใช่เรื่องการติดตามเรียกทรัพย์คืน คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2383/2554 แม้ทางนำสืบของโจทก์จะได้ความว่า โจทก์คืนเงินให้นาย อ. ครั้งแรกโดยโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากผู้มีชื่อ ส่วนการสั่งคืนเงินให้จำเลยในครั้งหลังจ่ายเป็นแคชเชียร์เช็คก็ตาม กรณีเป็นเพียงวิธีการสั่งคืนเงินโดยฝากเข้าบัญชีเงินฝากเท่านั้น เงินซึ่งนาย อ. และจำเลยนำมาวางไว้แก่โจทก์ก็เพื่อค้ำประกันการออกหนังสือค้ำประกันให้บริษัท พ. หาใช่เป็นการฝากเงินหรือฝากทรัพย์ไม่ ฉะนั้นการที่โจทก์ใช้สิทธิฟ้องจำเลยให้คืนเงินที่รับไปนั้น เป็นเรื่องที่กล่าวอ้างว่าจำเลยรับเงินไปโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ และเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ กรณีจึงเป็นเรื่องลาภมิควรได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 406 มิใช่เรื่องการติดตามเรียกเอาทรัพย์คืนตามมาตรา 1336 บทบัญญัติอันนี้ท่านให้ใช้บังคับตลอดถึงกรณีที่ได้ทรัพย์มา เพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งมิได้มีได้เป็นขึ้น หรือเป็นเหตุที่ได้สิ้นสุดไปเสียก่อนแล้วนั้นด้วย มาตรา 419 ในเรื่องลาภมิควรได้นั้น ท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนดปีหนึ่งนับแต่เวลาที่ฝ่ายผู้เสียหายรู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืน หรือเมื่อพ้นสิบปีนับแต่เวลาที่สิทธินั้นได้มีขึ้น มาตรา 1336 ภายในบังคับแห่งกฎหมาย เจ้าของทรัพย์สินมีสิทธิใช้สอยและจำหน่ายทรัพย์สินของตนและได้ซึ่งดอกผลแห่งทรัพย์สินนั้น กับทั้งมีสิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ และมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย โจทก์อุทธรณ์ จำเลยฎีกาโดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อสองว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์จ่ายเงินจำนวนเดียวกันให้แก่นายอภิชัยแล้ว ต่อมาก็จ่ายให้แก่จำเลยอีกครั้ง เมื่อโจทก์ฟ้องนายอภิชัยเป็นจำเลยให้คืนเงินศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่า เงินดังกล่าวเป็นของนายอภิชัย ตามสำเนาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยโจทก์ฟังคำพิพากษาเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2543 ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงคดีย่อมถึงที่สุดเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2543 ซึ่งต้องถือว่าโจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยคืนเงินนับแต่วันนี้เป็นต้นไป โจทก์ฟ้องจำเลยเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2544 เป็นเวลาเกิน 1 ปี คดีของโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 419 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้นเช่นกัน
|