ReadyPlanet.com
dot
ประมวลกฎหมาย
dot
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletพระราชบัญญัติ
bulletความรู้กฎหมาย
bulletสำนัก,ทนาย,ทนายความ
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletปรึกษากฎหมาย
bulletวิชาชีพทนายความ
bulletข้อบังคับสภาทนายความ
bulletคำพิพากษาฎีกา
bulletเช่าซื้อขายฝากซื้อขาย
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletเกี่ยวกับ วิ.แพ่ง
bulletคดีเกี่ยวกับวิ.อาญา
bulletคำพิพากษารวม
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletการสิ้นสุดการสมรส
dot
Newsletter

dot




การแบ่งสินสมรสตามกฎหมายเดิม

การเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย แม้สามีจะถึงแก่ความตายใน ปี 2532 เมื่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 ใหม่ประกาศใช้แล้วก็ตาม การแบ่งสินสมรสก็ต้องแบ่งตามกฎหมายลักษณะผัวเมียจะแบ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1533  หาได้ไม่  
 

    คำพิพากษาศาลฎีกาที่  2414/2538

          ห. กับ จ.เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายตามกฎหมายลักษณะผัวเมียโดยต่างมีสินเดิมมาด้วยกันบุคคลทั้งสองได้ทรัพย์พิพาทมาในระหว่างสมรสจึงเป็นสินสมรสแม้ ห. ถึงแก่ความตายในปี2532  เมื่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ5ใหม่ประกาศใช้แล้วก็ตามการแบ่งสินสมรสก็ต้องแบ่งตามกฎหมายลักษณะผัวเมียบทที่68คือชายได้2ส่วนหญิงได้1ส่วนจะแบ่งคนละส่วนเท่ากันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1533หาได้ไม่


          โจทก์ ทั้ง หก ฟ้อง ขอให้ บังคับ จำเลย ทั้ง สาม แบ่ง ทรัพย์มรดก ของนาย ห้อย ให้ โจทก์ ทั้ง หก คน ละ 439,390.81 บาท หาก จำเลย ทั้ง สาม ปิดบัง ทรัพย์มรดก ก็ ขอให้ กำจัด ไม่ให้ ได้รับ ทรัพย์มรดก และ ให้ ตกทอด แก่ทายาท อื่น

          จำเลย ทั้ง สาม ให้การ ขอให้ ยกฟ้อง

          ศาลชั้นต้น พิพากษา ให้ จำเลย ทั้ง สาม แบ่ง ทรัพย์ คือ ที่ดิน โฉนดเลขที่ 17925 และ 37239 ตำบล มีนบุรี (แสนแสบ) อำเภอมีนบุรี (แสนแสบ) กรุงเทพมหานคร ที่ดิน โฉนด เลขที่ 60760, 60761 และ 60772 ตำบล คลองกุ่ม อำเภอบางกะปิ นครหลวง กรุงเทพ ธนบุรี เฉพาะ ส่วน ของ นาย ห้อย คงนาน เจ้ามรดก ให้ โจทก์ ทั้ง หก คน ละ 1 ใน 49 ส่วน หาก แบ่ง ไม่ได้ ให้ นำ ทรัพย์ ดังกล่าว ออก ขายทอดตลาด เอา เงิน มา แบ่ง ให้โจทก์ ใน สัดส่วน ดังกล่าว คำขอ อื่น นอกจาก นี้ ให้ยก

          โจทก์ ทั้ง หก อุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้ เป็น ว่า ให้ จำเลย ทั้ง สาม แบ่ง ทรัพย์มรดกคือ ที่ดิน โฉนด เลขที่ 17952 และ 37239 ตำบล มีนบุรี (แสนแสบ) อำเภอ มีนบุรี (แสนแสบ) กรุงเทพมหานคร ที่ดิน โฉนด เลขที่ 6076060761 และ 60772 ตำบล คลองกุ่ม อำเภอบางกะปิ นครหลวง กรุงเทพ ธนบุรี เฉพาะ ส่วน ของ นาย ห้อย คงนาน เจ้ามรดก สอง ใน สาม ส่วน ให้ โจทก์ ทั้ง หก คน ละ 1 ใน 49 ส่วน หาก แบ่ง ไม่ได้ ให้ นำ ทรัพย์ ดังกล่าวออก ขายทอดตลาด เอา เงิน มา แบ่ง ให้ โจทก์ ทั้ง หก ใน สัดส่วน ดังกล่าวและ ให้ แบ่ง เงิน ค่า เรียก มัดจำ ตาม สัญญาจะซื้อขาย ที่ดิน โฉนด เลขที่17952 และ เงิน ค่าขาย ที่ดิน โฉนด เลขที่ 26687 เฉพาะ ส่วน ของ นาย ห้อย คงนาน สอง ใน สาม ส่วน ให้ โจทก์ ทั้ง หก คน ละ 1 ใน 49 ส่วน เฉพาะ จำนวน ที่ โจทก์ ยัง มิได้ รับ แก่ โจทก์ ทั้ง หก นอกจาก ที่ แก้ ให้ เป็น ไปตาม คำพิพากษา ศาลชั้นต้น

          จำเลย ที่ 1 ที่ 2 ฎีกา

          ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า "จาก คำฟ้อง คำให้การ ที่ไม่โต้แย้งกันข้อเท็จจริงเบื้องต้น ฟังได้ว่า โจทก์ทั้งหกเป็นผู้สืบสันดาน รับมรดกแทนที่ นาง จำรูญ  มารดา ซึ่งเป็นทายาทคนหนึ่ง ของ นาย ห้อย  เจ้ามรดก จำเลย ทั้งสามเป็น ผู้จัดการมรดกของ นาย ห้อย นาง จำรัส ภริยาของ นาย ห้อย ยังมีชีวิตอยู่ และ ปรากฏตามสำเนาคำพิพากษา ศาลชั้นต้น ท้ายฎีกาโจทก์ คดี หมายเลขแดง ที่ 123/2535ระหว่าง นาง เสาวณิต  โจทก์ นาง อุไร  กับพวก จำเลย โดย นาง เสาวณิต ฟ้องจำเลยทั้งสาม ในฐานะ ผู้จัดการมรดก ของ นาย ห้อย  ขอให้ จำเลยทั้งสามซึ่งทำสัญญาจะขายที่ดิน โฉนด เลขที่ 17952 แขวง และ เขตมีนบุรี (แสนแสบ) กรุงเทพมหานคร ให้แก่นาง เสาวณิต ใน ราคา 13,720,000 บาท ไปจดทะเบียนโอนโดยหักเงินค่ามัดจำ และ เงินที่ชำระให้ก่อนแล้ว รวม 4,802,000 บาท ซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้จำเลยทั้งสามไปจดทะเบียนโอนให้ นาง เสาวณิต โดยให้นาง เสาวณิต ชำระราคาที่ดินส่วนที่เหลือให้แก่จำเลยทั้งสาม ในคำแก้ฎีกาโจทก์ทั้งหกไม่ได้โต้แย้ง ข้อเท็จจริงนี้เพียงแต่เห็นควรได้รับดอกเบี้ย อัตราร้อยละ 7.5 ต่อ ปี ซึ่งไม่ได้ขอไว้ และจำเลย ที่ 1ที่ 2 ได้กล่าวในฎีกาว่าได้ขายที่ดินแปลงดังกล่าว รวมทั้งที่ดินมรดกแปลงอื่นทั้งหมดไปแล้ว ยกเว้นที่ดิน โฉนด เลขที่ 37239 แต่ ที่ดินแปลงอื่น ไม่มีหลักฐานมาแสดง คดีคงมีปัญหาต้อง วินิจฉัย ตามฎีกาจำเลย ที่ 1 ที่ 2 ใน ปัญหาข้อกฎหมาย ว่าทรัพย์สินระหว่าง นาย ห้อย นาง จำรัส เฉพาะส่วนของ นาย ห้อย เจ้ามรดก มีส่วนสัดครึ่งหนึ่ง หรือ สอง ใน สามส่วน การ วินิจฉัย ปัญหาเช่นว่านี้ ศาลฎีกา จำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ ศาลอุทธรณ์ ได้ วินิจฉัยจากพยานหลักฐาน ในสำนวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247 ประกอบ มาตรา 238  ข้อเท็จจริงจึงฟังเป็นยุติตามที่ ศาลอุทธรณ์ ฟังมาว่า นาย ห้อย เจ้ามรดก กับ นาง จำรัส เป็นสามี ภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามกฎหมาย ลักษณะ ผัวเมีย นาย ห้อย ถึงแก่กรรม เมื่อ วันที่ 22 พฤษภาคม 2532โจทก์ ทั้งหกต่างมีสิทธิได้รับมรดกของ นาย ห้อย คนละ 1 ใน 49 ส่วน นาย ห้อย และ นาง จำรัส ได้ทรัพย์พิพาทมาในระหว่างสมรส โดย ต่างฝ่ายต่างมีสินเดิมมาด้วยกัน ดังนั้นทรัพย์พิพาท จึง เป็น สินสมรส เมื่อนาย ห้อย และ นาง จำรัส สมรส กัน มา ก่อน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 การ แบ่ง สินสมรส ต้อง แบ่ง ตาม ส่วน สมรส ของ กฎหมายลักษณะผัวเมียบทที่ 68 คือ ชาย ได้ 2 ส่วน หญิง ได้ 1 ส่วนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ไม่ กระทบ กระเทือน ถึง เพราะ พระราชบัญญัติให้ ใช้ บทบัญญัติ บรรพ 5 แห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ ได้ ตรวจชำระ ใหม่ พ.ศ. 2519 มาตรา 4 บัญญัติ ว่า บทบัญญัติ บรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ ได้ ตรวจชำระใหม่ ท้ายพระราชบัญญัติ นี้ไม่กระทบกระเทือนถึงบทบัญญัติ มาตรา 4 และ มาตรา 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช 2477 และ พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติ บรรพ 5 แห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช 2477มาตรา 4 บัญญัติ ว่า บทบัญญัติ แห่งบรรพนี้ ไม่กระทบกระเทือน ถึง (1)การสมรสซึ่งได้มีอยู่ก่อนวันใช้ ประมวลกฎหมาย บรรพนี้ และ ทั้งสัมพันธ์ในครอบครัวอันเกิด แต่การสมรสนั้น ๆ ดังนั้นสินสมรสระหว่าง นายห้อย และ นางจำรัส จึง แบ่งให้คนละส่วนเท่ากัน ตาม มาตรา 1533แห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หาได้ไม่ แต่ต้องแบ่งให้ นาย ห้อย 2 ส่วน นาง จำรัส 1 ส่วน ตาม กฎหมายลักษณะผัวเมีย ดังกล่าว ตามนัย คำพิพากษาฎีกาที่ 740/2534 ระหว่าง นางสาว ณัฏฐยา โจทก์ นาง สุนทรา เอกภูมิ ใน ฐานะ ส่วนตัว และ ผู้จัดการมรดก ของ นาวาเอก หลวง พิ จำเลย ที่ ศาลอุทธรณ์ พิพากษา มา นั้น ชอบแล้ว ฎีกา จำเลย ที่ 1 ที่ 2 ฟังไม่ขึ้น "

          พิพากษายืน เว้นแต่ หาก ที่ดิน โฉนด เลขที่ 17952 ได้ จดทะเบียนโอน ให้ ผู้ซื้อ ไป แล้ว ก็ ให้ นำ ราคา ขาย มา แบ่ง แทน

( เสริม บุญทรงสันติกุล - อุระ หวังอ้อมกลาง - ปราโมทย์ ชพานนท์ )             

 

 

 ปัญหาเรื่องลาภมิควรได้กับฟ้องเรียกทรัพย์คืน
การฟ้องคดีเป็นเรื่องฟ้องเรียกทรัพย์คืนหรือเรื่องลาภมิควรได้? โจทก์(ธนาคาร)คืนเงินให้นายอภิชัยครั้งแรกโดยโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากร้าน เอ.ที.เอ็ม. คอนสตรัคชั่น ส่วนการคืนเงินให้จำเลยในครั้งหลังสั่งจ่ายเป็นแคชเชียร์เช็คก็ตาม กรณีเป็นเพียงวิธีคืนเงินโดยฝากเข้าบัญชีเงินฝากเท่านั้น การที่โจทก์ใช้สิทธิฟ้องจำเลยให้คืนเงินที่รับไปนั้น เป็นเรื่องที่กล่าวอ้างว่าจำเลยรับเงินไปโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้
http://www.peesirilaw.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538796987&Ntype=61

 

 


ผู้เช่าไม่อาจเข้าใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินที่เช่า
ในขณะทำสัญญาเช่ามีบุคคลภายนอกรบกวนขัดสิทธิอยู่ในทรัพย์สินที่เช่าอยู่ก่อนผู้เช่า ทำให้ผู้เช่าไม่อาจเข้าไปใช้ประโชชน์ในทรัพย์สินที่เช่า เมื่อผู้เช่ายังไม่ได้เข้าไปครอบครองหรือรับมอบการครอบครองทรัพย์สินที่เช่า ผู้เช่าจึงยังไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิ แต่บุคคลภายนอกนั้นโต้แย้งสิทธิของผู้ให้เช่า ดังนั้นผู้เช่าจึงยังไม่มีอำนาจฟ้องบุคคลภายนอกนั้น ทางแก้ของผู้เช่าในเรื่องนี้ก็โดยผู้เช่าต้องขอให้ศาลหมายเรียกผู้ให้เช่าเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมในคดีฟ้องขับไล่
http://www.peesirilaw.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538796611&Ntype=23

 


สั่งจ่ายเช็คหลังคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์มีผลอย่างไร?
การออกเช็คเพื่อชำระหนี้เงินกู้ยืมและหนี้นั้นเกิดขึ้นภายหลังจากที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วจะมีผลต่อมูลหนี้ของลูกหนี้หรือผู้ออกเช็คอย่างไรบ้าง? เรื่องนี้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการที่ลูกหนี้ออกเช็คโดยไม่ได้กระทำการตามคำสั่งหรือความเห็นชอบของศาล เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ หรือที่ประชุมเจ้าหนี้ จึงเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย มูลหนี้เงินกู้ตามเช็คตกเป็นโมฆะไม่สามารถบังคับได้ตามกฎหมาย
http://www.peesirilaw.com/พระราชบัญญัติล้มละลาย/คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์-ห้ามมิให้ลูกหนี้.html

 


สัญญาที่ทำขึ้นโดยไม่มีเจตนาแท้จริงให้ผูกพันกัน
สัญญาซื้อขายบ้านและที่ดินพิพาทเป็นสัญญาที่ทำขึ้นโดยไม่มีเจตนาแท้จริงให้ผูกพันกัน เป็นการแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กันระหว่างโจทก์และจำเลย เพื่อให้โจทก์นำที่ดินและบ้านพิพาทไปจำนองเป็นประกันหนี้กู้ยืมต่อธนาคาร และให้จำเลยทำสัญญาเช่าเพื่อเป็นประกันการผ่อนชำระหนี้แก่ธนาคาร สัญญาซื้อขายและสัญญาเช่าดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 155 วรรคหนึ่ง (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2952/2554)
http://www.peesirilaw.com/นิติกรรม/แสดงเจตนาลวง-นิติกรรมอำพราง.html
http://www.peesirilaw.com/เกี่ยวกับกฎหมาย/สำนักงานทนายความ-รับปรึกษากฎหมาย-0859604258.html


ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาทนายความ 0859604258  *  www.peesirilaw.com  *

 

 

 

  เงินเดือนสามีได้มาระหว่างสมรสเป็นสินสมรส
สามีซื้อที่ดินโดยกู้ยืมเงินจากธนาคาร197,000 บาท มาชำระราคาที่ดินและจดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้แก่ธนาคารและได้นำเงินเดือนของสามีผ่อนชำระหนี้เงินกู้ให้แก่ธนาคารอาคารจนครบถ้วน และไถ่ถอนจำนอง สามีซื้อรถยนต์และชำระราคารถยนต์คันเป็นเงินสด โดยกู้ยืมเงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์ 400,000 บาท สามีผ่อนชำระหนี้ให้แก่สหกรณ์ทุกเดือน ต่อมาฟ้องหย่าภริยา มีปัญหาว่าที่ดินและรถยนต์เป็นสินสมรสระหว่างสามีภริยาหรือไม่ ตามข้อเท็จจริงมีการซื้อที่ดิน และซื้อรถยนต์ เป็นระยะเวลาในระหว่างสมรส ที่ดินและรถยนต์จึงเป็นสินสมรสระหว่างสามีภริยา แม้เงินที่ใช้ในการผ่อนหนี้ค่าซื้อที่ดินเป็นเงินที่กู้มาจากธนาคารและเงินที่ใช้ซื้อรถยนต์เป็นเงินที่กู้จากสหกรณ์ออมทรัพย สามีจะเป็นผู้ผ่อนชำระหนี้ด้วยเงินเดือนของสามีทั้งสิ้นก็ตาม แต่เงินเดือนของสามีก็เป็นเงินที่ได้มาระหว่างสมรสจึงเป็นเงินสินสมรสนั่นเอง จึงรับฟังได้ว่าที่ดินพิพาทและรถยนต์พิพาทเป็นสินสมรส เมื่อหย่าขาดจากกันจึงต้องแบ่งสินสมรสดังกล่าวให้แก่ภริยากึ่งหนึ่งตามกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  9570/2551 (อ่านเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่)     

 




บรรพ 5 ครอบครัว

แต่งงานแล้วหญิงไม่ยอมร่วมหลับนอน
มีชื่อในสูติบัตรว่าเป็นบิดายังไม่เพียงพอ
คดีครอบครัวและมรดกของผู้นับถือศาสนาอิสลามสี่จังหวัด
สมัครใจและเต็มใจที่จะจดทะเบียนสมรสกัน
รางวัลที่ 1 สลากกินแบ่งรัฐบาล สินสมรสหรือสินส่วนตัว
เรียกค่าทดแทนจากภริยานอกกฎหมาย
มอบสัญญาเงินกู้เป็นของหมั้น สัญญาจะให้ทรัพย์สินเป็นของหมั้น
ไม่มีเจตนาจดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย เงินที่มอบให้ไม่ใช่ของหมั้นและสินสอด
สินสมรสตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย
การสมรสฝ่าฝืนมาตรา 1458 เป็นโมฆะ