ReadyPlanet.com
dot
ประมวลกฎหมาย
dot
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletพระราชบัญญัติ
bulletความรู้กฎหมาย
bulletสำนัก,ทนาย,ทนายความ
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletปรึกษากฎหมาย
bulletวิชาชีพทนายความ
bulletข้อบังคับสภาทนายความ
bulletคำพิพากษาฎีกา
bulletเช่าซื้อขายฝากซื้อขาย
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletเกี่ยวกับ วิ.แพ่ง
bulletคดีเกี่ยวกับวิ.อาญา
bulletคำพิพากษารวม
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletการสิ้นสุดการสมรส
bulletการใช้กฎหมายอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
dot
Newsletter

dot




นายจ้างมีอำนาจลงโทษตักเตือนบังคับบัญชาเป็นการจ้างแรงงาน

นายจ้างมีอำนาจลงโทษตักเตือนบังคับบัญชาเป็นการจ้างแรงงาน

สัญญาใดเป็นสัญญาจ้างแรงงานหรือจ้างทำของต้องพิจารณาถึงการทำงานของนายจ้างลูกจ้างทราบเจตนาในการทำสัญญาว่าคู่สัญญาเจตนาทำสัญญาจ้างแรงงานหรือสัญญาจ้างทำของ การที่นายจ้างมีอำนาจลงโทษตักเตือนลูกจ้างที่กระทำผิดได้ แสดงถึงอำนาจบังคับบัญชาที่นายจ้างมีต่อลูกจ้าง นิติสัมพันธ์ดังกล่าวจึงเป็นการจ้างแรงงาน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  2470/2556

การพิจารณาว่าสัญญาใดเป็นสัญญาจ้างแรงงานหรือจ้างทำของต้องพิจารณาถึงข้อเท็จจริงในการทำงานของนายจ้างลูกจ้างจึงจะทราบเจตนาในการทำสัญญาว่าคู่สัญญาเจตนาทำสัญญาจ้างแรงงานหรือสัญญาจ้างทำของ

          แม้สัญญาจ้างหาโฆษณาระหว่างโจทก์กับจำเลยมีรายละเอียดมุ่งถึงผลสำเร็จของการหาโฆษณาให้แก่หนังสือพิมพ์บ้านเมืองของจำเลยให้ได้ตามเป้าประสงค์ในสัญญาว่าโจทก์กับพวกต้องหาโฆษณาจากบุคคลภายนอกมาตีพิมพ์โดยคิดค่าโฆษณามีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 25 ล้านบาท และ 32 ล้านบาท ภายในกำหนด 10 เดือน และ 12 เดือน แต่ในทางปฏิบัติเมื่อโจทก์กับพวกไม่สามารถหาโฆษณาได้ตามเป้าประสงค์ จำเลยก็ผ่อนผันให้แก่โจทก์กับพวก ทั้งยังจ่ายเงินเดือนและค่านายหน้าให้ตามสัญญา เมื่อครบกำหนดตามสัญญาแล้วจำเลยยังทำสัญญาจ้างโจทก์กับพวกต่ออีก แสดงว่าเจตนาของจำเลยในการทำสัญญาจ้างโจทก์หาโฆษณาไม่ได้มุ่งถึงความสำเร็จของการงานที่ว่าจ้างเป็นสำคัญ จำเลยกำหนดให้โจทก์มีตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายโฆษณาและมอบบัตรประจำตัวพนักงานแก่โจทก์ พวกของโจทก์มีตำแหน่งในฝ่ายโฆษณาทั้งสิ้น โจทก์มีอำนาจลงโทษตักเตือนลูกจ้างที่กระทำผิดแทนจำเลยได้ แสดงถึงอำนาจบังคับบัญชาที่จำเลยมีต่อโจทก์กับพวก นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงเป็นการจ้างแรงงาน
 
          โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 420,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
          จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง

          ในวันนัดพิจารณาจำเลยแถลงไม่ประสงค์จะให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าคดีอยู่ในอำนาจศาลแรงงานหรือไม่
          ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 420,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2550 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

          จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
          ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า จำเลยประกอบกิจการจัดพิมพ์หนังสือพิมพ์บ้านเมืองซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์รายวันออกจำหน่าย เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2545 โจทก์กับพวกรวม 8 คน และจำเลยทำสัญญาจ้างหาโฆษณาโดยโจทก์กับพวกจะหาโฆษณาจากบุคคลภายนอกมาลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์บ้านเมือง คิดเป็นเงินค่าโฆษณาไม่ต่ำกว่า 25,000,000 บาท ภายในกำหนด 10 เดือน นับแต่วันที่ 1 มีนาคม 2545 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2545 หากโจทก์กับพวกหาโฆษณาภายในกำหนดเวลาได้ไม่ถึงยอดเงินดังกล่าวแล้วยอมให้จำเลยบอกเลิกสัญญาจ้างหาโฆษณานี้ได้ทันที จำเลยตกลงจ่ายเงินเดือนและค่านายหน้าให้โจทก์กับพวกโดยโจทก์รับค่าจ้างเดือนละ 70,000 บาท จำเลยหักค่าจ้างของโจทก์ไว้บางส่วนเป็นเงินภาษีหัก ณ ที่จ่าย และหักไว้บางส่วนเป็นเงินสะสมของโจทก์ เนื่องจากโจทก์เป็นผู้ประกันตนและจำเลยจ่ายเงินสมทบให้สำนักงานประกันสังคม เมื่อครบกำหนดระยะเวลาตามสัญญาจ้างหาโฆษณาแล้ว ปรากฏว่าโจทก์กับพวกหาโฆษณาให้จำเลยคิดเป็นเงินต่ำกว่า 25,000,000 บาท แต่จำเลยกับโจทก์เจรจากันและจำเลยตกลงให้โจทก์กับพวกหาโฆษณาต่ออีก 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2546 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2546 โดยโจทก์กับพวกต้องหาโฆษณามาลงหนังสือพิมพ์บ้านเมืองของจำเลยคิดเป็นเงินไม่ต่ำกว่า 36,000,000 บาท ตามสัญญาจ้างหาโฆษณาฉบับลงวันที่ 1 มกราคม 2546 ส่วนค่าตอบแทนในการหาโฆษณานั้นเป็นไปตามเงื่อนไขเดิมโดยโจทก์ทำบันทึกขอเสนอรายละเอียดอัตราเงินเดือนของโจทก์กับพวกต่อกรรมการผู้จัดการจำเลยเพื่อทราบ การพิจารณาว่าสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาจ้างทำของหรือไม่ จึงต้องพิจารณาข้อเท็จจริงในการทำงานระหว่างโจทก์กับจำเลยที่มีต่อกันด้วย มิใช่จะพิจารณาเฉพาะข้อความในสัญญาเพียงอย่างเดียว โดยแม้โจทก์กับพวกไม่สามารถหาโฆษณาให้จำเลยได้เป็นเงินถึง 25,000,000 บาท ภายในกำหนดเวลา 10 เดือน หรือเป็นเงินถึง 36,000,000 บาท ภายในกำหนดเวลา 12 เดือน ก็ตาม แต่โจทก์กับพวกยังได้รับค่านายหน้าจากจำเลย ทั้งระหว่างที่โจทก์ทำงานกับจำเลย จำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์เป็นประจำทุกเดือนตลอดมา จึงไม่ใช่เป็นการทำงานในลักษณะจ้างทำของ ส่วนข้อความในสัญญาจ้างหาโฆษณาที่ระบุว่าหากผู้รับจ้างจัดหาโฆษณาได้เป็นเงินไม่ถึง 25,000,000 บาท ภายในกำหนดเวลา 10 เดือน หรือผู้รับจ้างจัดหาโฆษณาได้เป็นเงินไม่ถึง 36,000,000 บาท ภายในกำหนดเวลา 12 เดือน ก็เป็นเพียงเงื่อนไขที่กำหนดไว้เพื่อให้สิทธิแก่จำเลยผู้ว่าจ้างในการจะบอกเลิกสัญญาหากโจทก์กับพวกไม่สามารถหาโฆษณาได้เป็นเงินตามที่กำหนดไว้เท่านั้น สัญญาจ้างหาโฆษณาจึงมิใช่สัญญาจ้างทำของ โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยการที่จำเลยเลิกสัญญาจ้างกับโจทก์โดยอ้างเหตุว่าโจทก์กับพวกมิเคยทำงานตามที่ได้รับจ้างสำเร็จลุล่วงตามข้อตกลงไว้ในหนังสือเลิกจ้างพนักงาน เป็นการเลิกจ้างโดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิดในกรณีหนึ่งกรณีใดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 จำเลยต้องรับผิดจ่ายค่าชดเชยจำนวน 420,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามฟ้องให้โจทก์

          คดีมีปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยประการต่อมาว่าสัญญาจ้างหาโฆษณาระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นสัญญาจ้างแรงงานหรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์ในข้อ 2.1 ถึง 2.4 ว่า สัญญาจ้างหาโฆษณาระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นสัญญาจ้างทำของนั้น เห็นว่า ในการพิจารณาว่าสัญญาใดเป็นสัญญาจ้างแรงงานหรือสัญญาจ้างทำของนั้นหาจำต้องพิจารณาเพียงแต่ข้อความในสัญญาไม่ หากแต่ต้องพิจารณาถึงข้อเท็จจริง ในการทำงานของนายจ้างและลูกจ้างด้วย จึงจะทราบถึงเจตนาในการทำสัญญาของคู่สัญญาว่าเจตนาทำสัญญาจ้างแรงงานหรือสัญญาจ้างทำของ แม้สัญญาจ้างหาโฆษณาระหว่างโจทก์และจำเลยจะมีรายละเอียดมุ่งถึงผลสำเร็จของงานอันได้แก่การหาโฆษณาให้แก่หนังสือพิมพ์ของจำเลยให้ได้ตามเป้าประสงค์ในสัญญา แต่ในทางปฏิบัติเมื่อโจทก์กับพวกไม่สามารถหาโฆษณาให้จำเลยได้ตามเป้าประสงค์ในสัญญา จำเลยก็ผ่อนผันให้แก่โจทก์กับพวก ทั้งยังจ่ายเงินเดือนและค่านายหน้าให้ตามสัญญา และเมื่อระยะเวลาตามสัญญาจ้างหาโฆษณาครบกำหนดแล้ว ปรากฏว่าจำเลยยังทำสัญญาจ้างโจทก์กับพวกอีก จึงแสดงถึงเจตนาของจำเลยในการจ้างโจทก์หาโฆษณาว่าแม้มีการกำหนดเป้าประสงค์ในการให้โจทก์กับพวกหาโฆษณามีมูลค่าไม่ต่ำกว่าในสัญญาข้อ 3 แต่จำเลยมิได้มุ่งถึงผลสำเร็จของการงานที่ว่าจ้างนั้นเป็นสำคัญ ทั้งในการจ้างโจทก์กับพวกดังกล่าวจำเลยกำหนดให้โจทก์มีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายโฆษณา ส่วนพวกของโจทก์ก็มีตำแหน่งในฝ่ายโฆษณาทั้งสิ้น จำเลยมอบบัตรประจำตัวพนักงานแก่โจทก์ โจทก์จะต้องลงเวลาเข้าทำงาน และโจทก์มีอำนาจลงโทษตักเตือนลูกจ้างที่กระทำผิดแทนจำเลยได้ พฤติการณ์ดังกล่าวจึงล้วนแสดงถึงอำนาจบังคับบัญชาที่จำเลยมีต่อโจทก์กับพวก นิติสัมพันธ์ระหว่างจำเลยกับโจทก์จึงเป็นการจ้างแรงงานอย่างแจ้งชัด หาใช่สัญญาจ้างทำของไม่ ส่วนการที่จำเลยอ้างว่าโจทก์กับพวกไม่ต้องทดลองงานตามข้อบังคับของจำเลยนั้น เห็นว่า การที่จำเลยจ้างโจทก์กับพวกหาโฆษณาให้แก่จำเลยในจำนวนเงินมูลค่าไม่ต่ำกว่า 25,000,000 บาท และไม่ต่ำกว่า 36,000,000 บาท นั้น จำเลยย่อมเล็งเห็นความเชี่ยวชาญของโจทก์กับพวกเป็นสำคัญ ทั้งสัญญาระหว่างจำเลยกับโจทก์เป็นสัญญาจ้างแรงงานแบบมีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดตามสัญญา ย่อมต้องแตกต่างจากการจ้างแรงงานแบบสัญญาจ้างไม่มีกำหนดระยะเวลาที่จำเลยใช้บังคับแก่ลูกจ้างของจำเลยทั่วไป ลำพังการที่จำเลยไม่ให้โจทก์กับพวกทดลองงานหาทำให้นิติสัมพันธ์ระหว่างจำเลยกับโจทก์กลายเป็นสัญญาจ้างทำของไปไม่ อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
          พิพากษายืน

 
ป.พ.พ.

มาตรา 575  อันว่าจ้างแรงงานนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าลูกจ้างตกลงจะทำงานให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่านายจ้าง และนายจ้างตกลงจะให้สินจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้

พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541

มาตรา 5 ในพระราชบัญญัตินี้

"นายจ้าง" หมายความว่า ผู้ซึ่งตกลงรับลูกจ้างเข้าทำงานโดยจ่าย ค่าจ้างให้ และหมายความรวมถึง
(1) ผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้ทำงานแทนนายจ้าง
(2) ในกรณีที่นายจ้างเป็นนิติบุคคลให้หมายความรวมถึงผู้มีอำนาจ กระทำการแทนนิติบุคคลและผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้มีอำนาจกระทำ การแทนนิติบุคคลให้ทำการแทนด้วย
(3) ในกรณีที่ผู้ประกอบกิจการได้ว่าจ้างด้วยวิธีเหมาค่าแรง โดย มอบให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดรับช่วงไปควบคุมดูแลการทำงานและรับผิด ชอบจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างอีกทอดหนึ่งก็ดี มอบหมายให้บุคคลหนึ่ง บุคคลใดเป็นผู้จัดการหาลูกจ้างมาทำงานอันมิใช่การประกอบธุรกิจ จัดหางานก็ดี โดยการทำงานนั้นเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดใน กระบวนการผลิตหรือธุรกิจในความรับผิดชอบของผู้ประกอบกิจการให้ ถือว่าผู้ประกอบกิจการเป็นนายจ้างของลูกจ้างดังกล่าวด้วย

"ลูกจ้าง" หมายความว่า ผู้ซึ่งตกลงทำงานให้นายจ้างโดยรับค่าจ้าง ไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร

"ผู้ว่าจ้าง" หมายความว่า ผู้ซึ่งตกลงว่าจ้างบุคคลอีกบุคคลหนึ่งให้ ดำเนินงานทั้งหมดหรือแต่บางส่วนของงานใดเพื่อประโยชน์แก่ตน โดย จะจ่ายสินจ้างตอบแทนผลสำเร็จแห่งการงานที่ทำนั้น

"ผู้รับเหมาชั้นต้น" หมายความว่า ผู้ซึ่งตกลงรับจะดำเนินงานทั้งหมด หรือบางส่วนของงานใดจนสำเร็จประโยชน์ของผู้ว่าจ้าง

"ผู้รับเหมาช่วง" หมายความว่า ผู้ซึ่งทำสัญญากับผู้รับเหมาชั้นต้น โดยรับจะดำเนินงานทั้งหมดหรือแต่บางส่วนของงานใดในความรับผิดชอบ ของผู้รับเหมาชั้นต้นเพื่อประโยชน์แก่ผู้ว่าจ้าง และหมายความรวมถึงผู้ซึ่ง ทำสัญญากับผู้รับเหมาช่วงเพื่อรับช่วงงานในความรับผิดชอบของผู้รับเหมาช่วง ทั้งนี้ ไม่ว่าจะรับเหมาช่วงกันกี่ช่วงก็ตาม

"สัญญาจ้าง" หมายความว่า สัญญาไม่ว่าเป็นหนังสือหรือด้วยวาจา ระบุชัดเจน หรือเป็นที่เข้าใจโดยปริยายซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่าลูกจ้าง ตกลงจะทำงานให้แก่บุคคลอีกบุคคลหนึ่งเรียกว่านายจ้างและนายจ้าง ตกลงจะให้ค่าจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้

"วันทำงาน" หมายความว่า วันที่กำหนดให้ลูกจ้างทำงานตามปกติ

"วันหยุด" หมายความว่า วันที่กำหนดให้ลูกจ้างหยุดประจำ สัปดาห์หยุดตามประเพณี หรือหยุดพักผ่อนประจำปี

"วันลา " หมายความว่า วันที่ลูกจ้างลาป่วย ลาเพื่อทำหมัน ลาเพื่อกิจธุระอันจำเป็น ลาเพื่อรับราชการทหาร ลาเพื่อการฝึกอบรม หรือพัฒนาความรู้ความสามารถ หรือลาเพื่อคลอดบุตร

"ค่าจ้าง" หมายความว่า เงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่าย เป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำ งานปกติเป็นรายชั่วโมง รายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน หรือระยะ เวลาอื่น หรือจ่ายให้โดยคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ในเวลาทำ งานปกติของวันทำงาน และให้หมายความรวมถึงเงินที่นายจ้างให้แก่ ลูกจ้างในวันหยุดและวันลาที่ลูกจ้างมิได้ทำงาน แต่ลูกจ้างมีสิทธิ์ได้รับ ตามพระราชบัญญัตินี้

"ค่าจ้างในวันทำงาน" หมายความว่า ค่าจ้างที่จ่ายสำหรับการทำ ทำงานเต็มเวลาการทำงานปกติ

"อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ" หมายความว่า อัตราค่าจ้างที่คณะกรรมการ ค่าจ้างกำหนดตามพระราชบัญญัตินี้

"อัตราค่าจ้างขั้นต่ำพื้นฐาน" หมายความว่า อัตราค่าจ้างที่คณะ กรรมการค่าจ้างกำหนดเพื่อใช้เป็นพื้นฐานในการกำหนดอัตราค่าจ้าง ขั้นต่ำ

"การทำงานล่วงเวลา" หมายความว่า การทำงานนอกหรือเกิน เวลาทำงานปกติหรือเกินชั่วโมงทำงานในแต่ละวันที่นายจ้างตกลงกัน ตาม มาตรา 23 ในวันทำงานหรือวันหยุดแล้วแต่กรณี 

"ค่าล่วงเวลา" หมายความว่า เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็น การตอบแทนการทำงานล่วงเวลาในวันทำงาน

"ค่าทำงานในวันหยุด" หมายความว่า เงินที่นายจ้างให้แก่ลูกจ้าง เป็นการตอบแทนการทำงานในวันหยุด

"ค่าล่วงเวลาในวันหยุด" หมายความว่า เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ ลูกจ้างเป็นการตอบแทนการทำงานล่วงเวลาในวันหยุด

"ค่าชดเชย" หมายความว่า เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อ เลิกจ้าง นอกเหนือจากเงินประเภทอื่นซึ่งนายจ้างตกลงจ่ายให้แก่ลูกจ้าง

"ค่าชดเชยพิเศษ" หมายความว่า เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้าง เมื่อสัญญาจ้างสิ้นสุดลงเพราะมีเหตุกรณีพิเศษที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้

"เงินสะสม" หมายความว่า เงินที่ลูกจ้างจ่ายเข้ากองทุนสงเคราะห์ ลูกจ้าง

"เงินสมทบ" หมายความว่า เงินที่นายจ้างสมทบให้แก่ลูกจ้างเพื่อ ส่งเข้าสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง

"พนักงานตรวจแรงงาน" หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ ปฎิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้

"อธิบดี" หมายความว่า อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน

"รัฐมนตรี" หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญัติ




กฎหมายแรงงาน

เลิกจ้างอ้างเหตุลูกจ้างปกปิดคุณวุฒิเกี่ยวกับเนติบัณฑิตอันเป็นเท็จ
ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานกรณีร้ายแรง
ลงโทษลูกจ้างในความผิดเรื่องนั้นแล้วไม่อาจอ้างคำเตือนเดิมเลิกจ้าง
ลูกจ้างส่งภาพโป๊ลามกอนาจารในเวลาทำงาน
เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน
นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
เลิกจ้างได้โดยไม่ต้องตักเตือนเป็นหนังสือ
สัญญาจ้างแรงงานนายจ้างมีอำนาจบังคับบัญชา
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีฐานะเป็นนายจ้าง
ย้ายตำแหน่งลูกจ้างเป็นอำนาจของนายจ้างในทางบริหาร
เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลแรงงาน
เล่นอินเตอร์เน็ตในเวลาทำงานเลิกจ้างไม่ต้องบอกล่วงหน้า
นายจ้างมอบอำนาจบังคับบัญชาให้ผู้อื่น
ค่าครองชีพจึงเป็นค่าจ้างที่ต้องถือเป็นเกณฑ์ในการคำนวณจ่ายค่าชดเชย
เงินค่านายหน้าในการยึดรถนอกจากค่าจ้างรายเดือนถือเป็นค่าจ้าง
สัญญายอมความหลีกเลี่ยงไม่เป็นธรรมแก่ลูกจ้าง
สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า