ReadyPlanet.com
dot
ประมวลกฎหมาย
dot
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletพระราชบัญญัติ
bulletความรู้กฎหมาย
bulletสำนัก,ทนาย,ทนายความ
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletปรึกษากฎหมาย
bulletวิชาชีพทนายความ
bulletข้อบังคับสภาทนายความ
bulletคำพิพากษาฎีกา
bulletเช่าซื้อขายฝากซื้อขาย
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletเกี่ยวกับ วิ.แพ่ง
bulletคดีเกี่ยวกับวิ.อาญา
bulletคำพิพากษารวม
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletการสิ้นสุดการสมรส
bulletการใช้กฎหมายอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
dot
Newsletter

dot




บุคคลใดยึดถือที่ดินมีเจตนายึดถือเพื่อตนย่อมได้สิทธิครอบครอง

บุคคลใดยึดถือที่ดินมีเจตนายึดถือเพื่อตนย่อมได้สิทธิครอบครอง

แบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค. 1) ไม่ใช่เอกสารที่ได้จดทะเบียนที่ดินไว้ในทะเบียนที่ดินตามกฎหมาย อันจะทำให้ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง  ขณะที่โจทก์ฟ้องคดี จำเลยครอบครองที่ดินอยู่ จำเลยย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานว่า จำเลยยึดถือที่ดินเพื่อตน  การขายฝากไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตกเป็นโมฆะ  แม้โจทก์จะเข้าตัดไม้โกงกางในที่ดินภายหลังครบกำหนดไถ่ ถือว่าอาศัยอำนาจของจำเลย โจทก์ไม่ได้สิทธิครอบครอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  8093/2551

มาตรา 456  การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย
สัญญาจะขายหรือจะซื้อ หรือคำมั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ หรือได้วางประจำไว้หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่
บทบัญญัติที่กล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ให้ใช้บังคับถึงสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ซึ่งตกลงกันเป็นราคาสองหมื่นบาท หรือกว่านั้นขึ้นไปด้วย

มาตรา 491  อันว่าขายฝากนั้น คือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้

มาตรา 1367  บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน ท่านว่าบุคคลนั้นได้ซึ่งสิทธิครอบครอง

มาตรา 1369  บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินไว้ ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลนั้นยึดถือเพื่อตน

มาตรา 1373  ถ้าทรัพย์สินเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้จดไว้ในทะเบียนที่ดิน ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง

มาตรา 1377  ถ้าผู้ครอบครองสละเจตนาครอบครอง หรือไม่ยึดถือทรัพย์สินต่อไปไซร้ การครอบครองย่อมสุดสิ้นลง
ถ้าเหตุอันมีสภาพเป็นเหตุชั่วคราวมีมาขัดขวางมิให้ผู้ครอบครองยึดถือทรัพย์สินไซร้ ท่านว่าการครอบครองไม่สุดสิ้นลง

  ศาลชั้นต้นชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์ร่วมมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทก่อนขายให้แก่โจทก์หรือไม่ โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ และจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์และต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ โดยประเด็นทั้งสองข้อนี้เมื่อโจทก์และโจทก์ร่วมเป็นฝ่ายกล่าวอ้างภาระการพิสูจน์ย่อมตกแก่โจทก์และโจทก์ร่วม แต่แบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เป็นหลักฐานที่รับฟังได้แต่เพียงว่า ขณะแจ้งการครอบครองผู้แจ้งอ้างว่าที่ดินเป็นของผู้แจ้งมิใช่อสังหาริมทรัพย์ที่ได้จดทะเบียนไว้ในทะเบียนที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 อันจะทำให้โจทก์ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง จำเลยเป็นฝ่ายยึดถือครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามมาตรา 1369 ว่าจำเลยยึดถือที่ดินพิพาทเพื่อตน จึงตกเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่ต้องนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว

 โจทก์ร่วมทั้งสองกับจำเลยทำสัญญาขายฝากที่พิพาทโดยไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 491 ประกอบมาตรา 456 ถือเสมือนว่ามิได้มีนิติกรรมการขายฝากเกิดขึ้นเลย โจทก์ร่วมทั้งสองย่อมจะอ้างสิทธิการได้มาโดยการครอบครองโดยนิติกรรมการขายฝากนั้นไม่ได้ เพราะการขายฝากมิใช่ว่าผู้ขายฝากสละเจตนาครอบครองโดยเด็ดขาดให้แก่ผู้ซื้อฝาก แต่ผู้ขายฝากมอบที่ดินโดยมีเงื่อนไขว่าวันหลังจะเอาคืน การที่โจทก์ร่วมทั้งสองครอบครองที่ดินพิพาทหลังจากครบกำหนดไถ่เป็นการครอบครองโดยอาศัยอำนาจของจำเลยเพื่อทำการตัดไม้โกงกางไปเป็นประโยชน์เท่านั้น โจทก์ร่วมทั้งสองจึงไม่ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาท
  
          โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2537 โจทก์ซื้อที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 170/98 เนื้อที่ 18 ไร่ จากนายชุบ และนางวาดโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนเป็นเงินจำนวน 4,000,000 บาท และได้รับการส่งมอบการครอบครองที่ดินแล้ว เมื่อปลายปี 2537 จำเลยและบริวารเข้าครอบครองปลูกสร้างกระต๊อบและขุดลอกที่ดินทำบ่อเลี้ยงกุ้งปลาในที่ดินดังกล่าวโดยไม่มีสิทธิ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ที่ดินดังกล่าวโจทก์สามารถให้บุคคลอื่นเช่าในอัตราค่าเช่าเดือนละ 5,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกจากที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 170/98 หมู่ที่ 11 ตำบลคลองด่าน อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ปรับสภาพที่ดินให้คืนสภาพเดิมด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลยและให้ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์อัตราเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ปรับสภาพที่ดินและออกจากที่ดินดังกล่าว

จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 170/98 ตั้งแต่เดือนกันยายน 2517 ตลอดมาและไม่เคยแสดงเจตนาสละสิทธิ นายชุบและนางวาดจึงไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าว โจทก์กับนายชุบและนางวาดไม่ได้ซื้อขายที่ดินพิพาทกันจริง แต่ทำสัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าวโดยมีเจตนาฉ้อฉลจำเลย โจทก์ทราบว่าสัญญาขายฝากตกเป็นโมฆะ นายชุบและนางวาดไม่สามารถฟ้องบังคับจำเลยตามสัญญาขายฝากได้ จึงสมคบกับนายชุบและนางวาดทำสัญญาซื้อที่ดินดังกล่าวเพื่อจะใช้สัญญาซื้อขายที่ดินนั้นมาฟ้องขับไล่จำเลย โจทก์ไม่เคยครอบครองที่ดินดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยขอให้ยกฟ้อง

   ระหว่างพิจารณาโจทก์ขอให้ศาลหมายเรียกนายชุบและนางวาด เข้ามาเป็นโจทก์ร่วมในคดีนี้ ศาลชั้นต้นอนุญาต
          โจทก์ร่วมทั้งสองยื่นคำร้องว่า โจทก์ร่วมที่ 1 มอบอำนาจให้โจทก์ร่วมที่ 2 ดำเนินคดี เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2533 จำเลยนำที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 170/98 หมู่ที่ 11 ตำบลคลองด่าน อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ มาขายฝากแก่โจทก์ร่วมทั้งสอง ตกลงว่าหากไม่ไถ่ถอนภายในกำหนด ยอมให้ที่ดินหลุดเป็นสิทธิของโจทก์ร่วมทั้งสอง แต่จำเลยไม่ไถ่ถอนภายในกำหนด ต่อมาโจทก์ร่วมทั้งสองขายที่ดินดังกล่าวให้โจทก์

  ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองให้โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความให้ 50,000 บาท
          โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองอุทธรณ์

 ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
          โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า จำเลยทำสัญญาขายฝากเอกสารหมาย จ.13 กับโจทก์ร่วมทั้งสอง และโจทก์ร่วมที่ 2 ได้รับเงินจากจำเลยเดือนละ 7,500 บาท นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2533 ถึงเดือนกรกฎาคม 2534 ตามใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย ล.4 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมประการแรกว่า ศาลล่างทั้งสองพิจารณาในลักษณะให้ภาระนำสืบตกแก่โจทก์เป็นทำนองว่าทำให้โจทก์และโจทก์ร่วมตกอยู่ในฐานะเสียเปรียบทางคดีไม่ต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 และเป็นการพิจารณาผิดระเบียบตามมาตรา 27 นั้น เห็นว่า ข้อนี้ได้ความว่า ศาลชั้นต้นชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์ร่วมมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทก่อนขายให้แก่โจทก์หรือไม่ โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ และจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์และต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้องหรือไม่เพียงใดโดยประเด็นทั้งสองข้อนี้ เมื่อโจทก์และโจทก์ร่วมเป็นฝ่ายกล่าวอ้างภาระการพิสูจน์ย่อมตกแก่โจทก์และโจทก์ร่วม และที่ดินพิพาทเป็นที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) แต่แบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เป็นหลักฐานที่รับฟังได้แต่เพียงว่า ขณะแจ้งการครอบครองผู้แจ้งอ้างว่าที่ดินเป็นของผู้แจ้งที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) หาใช่อสังหาริมทรัพย์ที่ได้จดทะเบียนไว้ในทะเบียนที่ดินตามนัยที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 อันจะทำให้โจทก์ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครองแต่อย่างใดไม่ จำเลยเป็นฝ่ายยึดถือครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1369 ว่าจำเลยยึดถือที่ดินพิพาทเพื่อตน จึงตกเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่ต้องนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว ประกอบทั้งได้พิจารณาพยานหลักฐานในประเด็นทั้งสองนี้แล้วเห็นว่าเป็นเรื่องที่อยู่ในความรู้เห็นของโจทก์ โจทก์ร่วมและจำเลยร่วมกัน แม้โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบก่อน จำเลยก็ถามค้านให้พยานโจทก์มีโอกาสอธิบายและนำสืบถึงข้อความเหล่านั้นโดยบริบูรณ์แล้ว โจทก์ โจทก์ร่วมหาเสียเปรียบไม่ ศาลล่างทั้งสองหาได้ดำเนินกระบวนพิจารณาขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 ไม่ และไม่เป็นการพิจารณาผิดระเบียบตามมาตรา 27 แต่อย่างใด ฎีกาข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

 โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองฎีกาประการหลังว่า จำเลยหาได้ครอบครองที่ดินพิพาทระหว่างปี 2534 ถึงก่อนปลายปี 2537 แต่เพิ่งเข้ามาครอบครองที่ดินพิพาทในปลายปี 2537 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พ้นกำหนดไถ่ถอนและสัญญาขายฝากได้สิ้นสุดไปหลายปีแล้ว และเป็นช่วงเวลาภายหลังที่โจทก์ซื้อเดือนกันยายน 2537 จากโจทก์ร่วมบ่งชี้ชัดว่าจำเลยตกลงให้สิทธิครอบครองให้แก่โจทก์ร่วมในวันทำสัญญาจริง และถ้าไม่ไถ่ถอนในกำหนดให้หลุดเป็นสิทธิแก่โจทก์ร่วมกรณีจึงถือข้อความในสัญญาขายฝากถูกต้องตามเจตนา คู่กรณีให้ใช้บังคับผูกพันตามสัญญา และว่าจำเลยไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทนั้น เห็นว่า ในปัญหาที่ว่า จำเลยสละสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทให้หลุดเป็นสิทธิแก่โจทก์ร่วมทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า สัญญาขายฝากที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์ร่วมทั้งสองกับจำเลย ตามเอกสารหมาย จ.13 ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาขายฝากดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 491 ประกอบมาตรา 456 ถือเสมือนว่ามิได้มีนิติกรรมการขายฝากเกิดขึ้นเลย เมื่อสัญญาขายฝากนี้เป็นโมฆะแล้วโจทก์ร่วมทั้งสองย่อมจะอ้างสิทธิการได้มาโดยการครอบครองโดยนิติกรรมการขายฝากนั้นไม่ได้ เพราะการขายฝากมิใช่ว่าผู้ขายฝากสละเจตนาครอบครองโดยเด็ดขาดให้แก่ผู้ซื้อฝาก แต่ผู้ขายฝากมอบที่ดินโดยมีเงื่อนไขว่าวันหลังจะเอาคืน ฉะนั้น แม้จะฟังว่าโจทก์ร่วมทั้งสองครอบครองที่ดินพิพาทหลังจากครบกำหนดไถ่ก็ตาม แต่ก็เป็นการครอบครองโดยอาศัยอำนาจของจำเลยเพื่อทำการตัดไม้โกงกางไปเป็นประโยชน์เท่านั้น โจทก์ร่วมทั้งสองจึงไม่ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทส่วนข้อสัญญาข้อ 2 ที่ว่า ถ้าไม่ไถ่ถอนในกำหนดให้หลุดเป็นสิทธิแก่โจทก์ร่วมนั้น เห็นว่า เมื่อจำเลยและโจทก์ร่วมทั้งสองมีเจตนาแท้จริงเพียงการขายฝากดังวินิจฉัยข้างต้นและพันตำรวจตรีพิสุทธิ์พยานโจทก์เบิกความว่า โจทก์และจำเลยมาที่สถานีตำรวจภูธรตำบลคลองด่านเพื่อตกลงกัน พยานได้ทำบันทึกไว้ตามเอกสารหมาย จ.17 ซึ่งสรุปได้ว่าจำเลยอ้างว่าหลังจากมีการติดต่อไถ่คืนโจทก์ร่วมที่ 2 ผัดผ่อนอ้างว่าได้นำ ส.ค.1 ไปฝากไว้กับญาติ ไม่อาจให้ไถ่ได้ ส่วนโจทก์ร่วมที่ 2 อ้างว่าหลังจากวันสิ้นสุดสัญญา จำเลยได้มาติดต่อขอไถ่คืน โจทก์ร่วมที่ 2 ได้เลื่อนนัดไปอีก 3 วัน เมื่อครบกำหนดจำเลยได้มาขอไถ่คืน โจทก์ร่วมที่ 2 ให้ไถ่ถอนในราคา 6 ล้านบาท จำเลยแจ้งว่าไม่มีปัญญาไถ่ พยานปากนี้เป็นเจ้าพนักงานของรัฐทำการตามหน้าที่ราชการไม่มีส่วนได้เสียกับคู่ความฝ่ายใด นับเป็นพยานคนกลาง คำเบิกความจึงมีน้ำหนักเชื่อได้ว่าโจทก์ร่วมและจำเลยหาได้ยึดถือข้อความในสัญญาข้อ 2 กันจริงจังแต่ประการใดไม่ประกอบกับสัญญาขายฝากเอกสารหมาย จ.13 เป็นแบบพิมพ์สัญญาสำเร็จรูปซึ่งนายจำปีผู้เขียนสัญญาเบิกความว่าโจทก์ร่วมที่ 2 บอกว่าไม่ได้นำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินมาแต่มีหนังสือสัญญาขายฝากมาด้วย จึงให้ทำเป็นสัญญาขายฝากซึ่งจำเลยอาจไม่ได้อ่านข้อความโดยละเอียดก็เป็นได้ แม้หลังจากครบกำหนดไถ่จำเลยจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทและยังไม่ได้ไถ่ที่ดินพิพาทคืนมาก็ตาม สิทธิการครอบครองที่ดินพิพาทก็ยังคงเป็นของจำเลยอยู่ ยังถือไม่ได้ว่า จำเลยสละสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทให้โจทก์ร่วมทั้งสองดังที่โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองฎีกา ทั้งข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าโจทก์ร่วมทั้งสองได้บอกกล่าวเปลี่ยนแปลงการยึดถือที่ดินพิพาทเพื่อตนเองให้จำเลยทราบแต่ประการใด โจทก์ร่วมทั้งสองจึงไม่ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาท โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับโอนที่ดินพิพาทจากโจทก์ร่วมย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าโจทก์ร่วมทั้งสองผู้โอนไม่ว่าโจทก์จะรับโอนโดยสุจริตหรือไม่ก็ตาม กรณีจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยข้อโต้แย้งอื่นต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องต้องกันมา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
          พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ




กรรมสิทธิ์ทรัพย์สินสิทธิครอบครอง

ยึดถือที่ดินเพื่อตนกับมีชื่อในทะเบียนสิทธิใดดีกว่า?
เจ้าของที่ดินไม่ได้ไประวังแนวเขต
ตัดไม้ประดู่ในที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 จำคุก 6 เดือน
สิทธิเหนือพื้นดินจะได้มาก็แต่โดยนิติกรรมเท่านั้น
สิทธิครอบครองที่ดินของรัฐ
สร้างบ้านโดยอาศัยสิทธิไม่ตกเป็นส่วนควบ
อำนาจฟ้องขับไล่ผู้มีสิทธิอาศัย
การโอนการครอบครอง | อำนาจฟ้อง
อายุความหนึ่งปี | แย่งการครอบครอง
สิทธิครอบครอง | อำนาจฟ้องขับไล่