

บันทึกไม่ประสงค์ขอรับมรดกที่ดินและยินยอมให้จำเลยรับมรดกแปลงนี้แต่ผู้เดียว บันทึกไม่ประสงค์ขอรับมรดกที่ดินและยินยอมให้จำเลยรับมรดกแปลงนี้แต่ผู้เดียว การสละมรดกนั้น กฎหมายกำหนดว่าจะทำแต่เพียงบางส่วน หรือทำโดยมีเงื่อนไข หรือเงื่อนเวลาไม่ได้ การสละมรดกนั้น ต้องแสดงเจตนาชัดแจ้งเป็นหนังสือมอบไว้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่หรือทำเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ แต่การสละมรดกที่มีเงื่อนไขว่าส่วนของตนยกให้ทายาทอื่นนั้นต้องห้ามเป็นผลให้ไม่เป็นการสละมรดกไม่ชอบ แต่หนังสือสละมรดกดังกล่าวมีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความแบ่งปันทรัพย์มรดกผูกพันคู่สัญญา มาตรา 1612 การสละมรดกนั้น ต้องแสดงเจตนาชัดแจ้งเป็นหนังสือมอบไว้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือทำเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ มาตรา 1613 การสละมรดกนั้น จะทำแต่เพียงบางส่วน หรือทำโดยมีเงื่อนไข หรือเงื่อนเวลาไม่ได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4921/2552 การสละมรดกมี ป.พ.พ. มาตรา 1612 บัญญัติให้กระทำได้ 2 แบบคือ แสดงเจตนาชัดแจ้งเป็นหนังสือมอบไว้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือทำเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ คำว่า พนักงานเจ้าหน้าที่ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1612 หมายถึง ผู้อำนวยการเขตหรือนายอำเภอหรือหัวหน้ากิ่งอำเภอและหมายรวมถึงบุคคลที่กระทำหน้าที่แทนด้วย ดังนั้น การที่บุตรทั้งเจ็ดของเจ้ามรดกไปให้ถ้อยคำและทำบันทึกหลักฐานเป็นหนังสือระบุชัดแจ้งว่าไม่ขอรับโอนมรดกที่ดินไว้ต่อเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดินอำเภอซึ่งเป็นหัวหน้าส่วนราชการประจำสำนักงานที่ดินอำเภอสวี ในฐานะเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดินปฏิบัติราชการแทนนายอำเภอ ซึ่งนายอำเภอมีอำนาจตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 มาตรา 38 (10) ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นที่จะมอบอำนาจให้หัวหน้าส่วนราชการที่ประจำอยู่ในอำเภอปฏิบัติราชการแทนได้ จึงเป็นการแสดงเจตนาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายแล้ว แต่การที่บุตรทั้งเจ็ดระบุว่า ไม่ประสงค์ขอรับมรดกที่ดินแปลงนี้และยินยอมให้จำเลยรับมรดกแปลงนี้แต่ผู้เดียว ไม่ใช่การสละมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1612 เพราะเป็นการสละมรดกโดยมีเงื่อนไข ต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา 1613 อย่างไรก็ตามบันทึกดังกล่าวมีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความมีผลใช้บังคับผูกพันบุตรทั้งเจ็ดกับจำเลยได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 850, 852 และ 1750 โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 843 และ 845 ตำบลสวี อำเภอสวี จังหวัดชุมพร ไปจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของรวมกึ่งหนึ่ง หากเพิกเฉยให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน และให้จำเลยนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวไปยื่นขอแบ่งแยกแก่โจทก์แปลงละกึ่งหนึ่ง หากแบ่งไม่ได้ให้ประมูลราคากันระหว่างโจทก์จำเลยหรือขายทอดตลาดนำเงินแบ่งแก่โจทก์กึ่งหนึ่ง จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยร่วมกับโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายหิรัญนำที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 843 และ 845 ตำบลสวี อำเภอสวี จังหวัดชุมพร แบ่งให้แก่โจทก์ 1 ใน 9 ส่วน หากแบ่งไม่ได้ให้ประมูลราคากันระหว่างโจทก์และจำเลยหรือขายทอดตลาดนำเงินให้แก่โจทก์ 1 ใน 9 ส่วน ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยรับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า การที่บุตรของจำเลยทั้งเจ็ดคนทำหลักฐานการไม่ขอรับโอนมรดก เป็นผลให้โจทก์มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งที่ดินมรดกตามฟ้องเพียงใด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1612 บัญญัติว่า การสละมรดกนั้น ต้องแสดงเจตนาชัดแจ้งเป็นหนังสือมอบไว้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่หรือทำเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ดังนั้นการที่บุตรของจำเลยกับนายหิรัญทั้งเจ็ดคนไปให้ถ้อยคำโดยทำหลักฐานเป็นหนังสือแจ้งโดยชัดแจ้งไม่ขอรับโอนมรดกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) โดยระบุให้โอนมรดกส่วนของตนให้แก่จำเลยไว้ต่อนายสุเมธเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดินอำเภอซึ่งเป็นหัวหน้าส่วนราชการประจำสำนักงานที่ดินอำเภอสวี และนายสุเมธได้ลงนามในช่องพนักงานเจ้าหน้าที่โดยประทับตราระบุตำแหน่งว่า เจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดินอำเภอปฏิบัติราชการแทนนายอำเภอตามหลักฐานการไม่ขอรับโอนมรดก ซึ่งนายอำเภอสวีมีอำนาจตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 มาตรา 38 (10) ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นที่จะมอบอำนาจให้หัวหน้าส่วนราชการประจำอยู่ในอำเภอสวีปฏิบัติราชการแทนได้ ดังนั้นที่บุตรของจำเลยกับนายหิรัญทั้งเจ็ดคนไปแจ้งดังกล่าวจึงเป็นการแจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และมีผลบังคับได้ตามกฎหมาย แต่การที่ระบุด้วยว่าให้โอนมรดกส่วนของตนให้แก่จำเลย ทำให้การจัดแบ่งทรัพย์มรดกไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดและเป็นการทำโดยมีเงื่อนไขต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1613 เป็นผลให้ไม่เป็นการสละมรดกโดยชอบ แต่อย่างไรก็ตามบันทึกหลักฐานการไม่ขอรับโอนมรดก มีทั้งบุตรของจำเลยทั้งเจ็ดคนผู้ให้ และจำเลยผู้รับลงลายมือชื่อไว้มีลักษณะเป็นการประนีประนอมยอมความแบ่งปันทรัพย์มรดกกันย่อมผูกพันคู่สัญญามีผลบังคับได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850, 852 และ 1750 เมื่อนำทรัพย์มรดกในส่วนที่จำเลยได้รับจากบุตรทั้งเจ็ดคนรวมกับส่วนของจำเลยเองแล้ว จำเลยมีส่วนได้ที่ดินมรดกตามฟ้อง 8 ใน 9 ส่วน สำหรับโจทก์มีส่วนได้รับ 1 ใน 9 ส่วน ซึ่งเท่ากับที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา ศาลฎีกาจึงเห็นพ้องด้วยในผลของคำพิพากษา อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น... พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่เกินมาแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ |