

อายุความมรดกตามมาตรา 1754 อายุความมรดกตามมาตรา 1754 อายุความคดีมรดกตามมาตรา 1754 เป็นคดีที่พิพาทกันระหว่างทายาทที่มีสิทธิในทรัพย์มรดกด้วยกันเพื่อเรียกร้องส่วนแบ่งของตน ภรรยานอกกฎหมายของทายาทมิใช่ทายาทผู้มีสิทธิในทรัพย์มรดก ย่อมไม่อาจอ้างอายุความมรดกในฐานะทายาทโดยธรรมได้ คำพิพากษา ศาลฎีกาที่ 3316/2542 คดีมรดกตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 หมายความว่า คดีที่พิพาทกันระหว่างทายาทที่มีสิทธิในทรัพย์มรดก ด้วยกัน ด้วยเรื่องสิทธิเรียกร้องส่วนแบ่งทรัพย์มรดก จำเลยมิใช่ทายาทผู้มีสิทธิในทรัพย์มรดก และโจทก์ฟ้องคดี เพื่อเรียกทรัพย์มรดกจากจำเลยผู้ครอบครองแทน กรณีจึงมิใช่ เรื่องโจทก์เรียกร้องส่วนแบ่งในทรัพย์มรดก จำเลยย่อมไม่อาจอ้างอายุความมรดกตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 มาตัดฟ้องโจทก์ได้ โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และนายลอย บุตรชาติ กับพวกอีก 3 คนเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนางไวย์ บุตรชาติ กับนายโปย บุตรชาติ จำเลยเคยเป็นภริยานายลอย แต่เลิกร้างกันมาประมาณ 6 ปี นางไวย์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทและได้ปลูกบ้านเลขที่ 43 อาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทตลอดมาจนกระทั่งถึงแก่กรรมเมื่อปี 2534 เมื่อประมาณปี 2520 ถึง 2521 ทางราชการสำรวจเพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) สำหรับที่ดินพิพาท ขณะนั้นจำเลยยังเป็นภริยานายลอยอาศัยอยู่ร่วมกับนางไวย์ได้นำสำรวจแจ้งการ ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาทเป็นชื่อของจำเลยแทนนางไวย์ เนื่องจากขณะนั้นนางไวย์มีอายุมากและไม่ทราบเรื่องส่วนโจทก์และพี่น้องคน อื่น ๆ ต่างไปทำงานรับจ้างอยู่ที่อื่นทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 620 ให้แก่จำเลยหลังจากได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จำเลยนำไปมอบให้นางไวย์เก็บรักษาไว้เพื่อจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อเป็นของ นางไวย์ แต่ยังมิได้ดำเนินการเนื่องจากต้องแบ่งแยกที่ดินส่วนที่เป็นสระน้ำสาธารณะใน ที่ดินพิพาทออกก่อน จนกระทั่งนางไวย์ถึงแก่กรรม ที่ดินพิพาทจึงเป็นมรดกตกได้แก่โจทก์และบุตรทุกคนของนางไวย์ หลังจากนางไวย์ถึงแก่กรรมโจทก์ได้ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมา และได้ติดต่อให้จำเลยไปจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองที่ดินพิพาทเป็นชื่อ โจทก์แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้พิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนางไวย์ ให้จำเลยไปจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองเป็นชื่อโจทก์ภายใน 7 วัน นับแต่วันมีคำพิพากษา หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทมิใช่ทรัพย์มรดกของนางไวย์แต่เป็นของจำเลยโดยนางไวย์ยกให้ จำเลยจึงขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นของตน มิใช่ออกแทนนางไวย์ โจทก์ฟ้องคดีหลังจากที่ นางไวย์ ถึงแก่กรรมเกินกว่า 1 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง ศาล ชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นของนางไวย์เมื่อนางไวย์ถึงแก่กรรมที่ดินพิพาทจึงเป็นทรัพย์ มรดกของนางไวย์โดยมีจำเลยเป็นผู้ครอบครองแทนแต่จำเลยบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะ แห่งการยึดถือตั้งแต่ปี 2534 โจทก์มาฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองเกินกำหนด 1 ปี จึงหมดสิทธิฟ้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ใน ข้อเท็จจริงได้ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้จำเลยไปจดทะเบียนเปลี่ยน ชื่อผู้ครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 620 ตำบลตั้งใจ อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของนางไวย์ บุตรชาติ เป็นชื่อของโจทก์ภายใน 7 วัน หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทน การแสดงเจตนา จำเลยฎีกา ศาล ฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1 โดยโจทก์และจำเลยมิได้ฎีกาโต้แย้งเป็นอย่างอื่นว่า ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนางไวย์ บุตรชาติโดยมีชื่อจำเลยในหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นผู้ครอบครองแทน ที่ดินพิพาทจึงตกได้แก่โจทก์ซึ่งเป็นบุตรและโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดิน พิพาทตลอดมา คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ 1 ปี หรือไม่เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า ห้ามมิให้ฟ้องคดีมรดกเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่เมื่อเจ้ามรดกตายคำว่า คดีมรดก หมายความว่า คดีที่พิพาทกันระหว่างทายาทที่มีสิทธิในทรัพย์มรดกด้วยกันด้วยเรื่องสิทธิ เรียกร้องส่วนแบ่งทรัพย์มรดกนั้น ฉะนั้น เมื่อจำเลยมิใช่ทายาทผู้มีสิทธิในทรัพย์มรดกรายนี้ และโจทก์ฟ้องคดีนี้เพื่อเรียกทรัพย์มรดกจากจำเลยผู้ครอบครองแทนกรณีมิใช่ เรื่องเรียกร้องส่วนแบ่งในทรัพย์มรดก จำเลยจึงไม่อาจอ้างอายุความมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 มาตัดฟ้องโจทก์ อายุความตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวไม่อาจนำมาปรับใช้กับคดีนี้ได้ พิพากษายืน
|