
การพิจารณาเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ข้อบังคับสภาทนายความ ข้อ 1 ข้อบังคับนี้เรียกว่า ข้อบังคับสภาทนายความ ว่าด้วยการพิจารณาเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ พ.ศ. 2550 ข้อ 2 ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อ 3 ให้นายกสภาทนายความเป็นผู้รักษาการตามข้อบังคับนี้ ข้อ 4 ให้ยกเลิกข้อบังคับสภาทนายความ ว่าด้วยการพิจารณาเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ให้แก่ทนายความผู้กระทำความดีความชอบอันเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน พ.ศ. 2543 และข้อบังคับสภาทนายความ ว่าด้วยการพิจารณาเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ให้แก่ทนายความผู้กระทำความดีความชอบ อันเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ข้อ 5 ในข้อบังคับนี้ พระราชกฤษฎีกา หมายความว่า พระราชกฤษฎีกา ว่าด้วยการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ พ.ศ. 2538 เครื่องราชอิสริยาภรณ์ หมายความว่า เครื่องราชอิสริยาภรณ์ตามพระราชกฤษฎีกา ว่าด้วยการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ พ.ศ. 2538 สมาชิก หมายความว่า สมาชิกสภาทนายความตามพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528 พนักงาน หมายความว่า พนักงานสภาทนายความ ตามข้อบังคับสภาทนายความ ว่าด้วยการพนักงานสภาทนายความ พ.ศ. 2530 บุคคล หมายความว่า บุคคลที่ประกอบคุณงามความดี มีผลงานดีเด่นในการประกอบวิชาชีพทางกฎหมาย การศึกษาค้นคว้าวิจัยด้านกฎหมาย หรือการส่งเสริมความสามัคคีและความสมานฉันท์ของมวลหมู่ผู้ประกอบวิชาชีพทางกฎหมาย ซึ่งส่งผลให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ ศาสนา และประชาชน ข้อ 6 สมาชิกหรือพนักงานที่จะได้รับการเสนอชื่อขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ต้องเป็นสมาชิกหรือเป็นพนักงานมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี หรือเป็นพนักงานตั้งแต่ระดับ 5 ขึ้นไป แล้วแต่กรณี ข้อ 7 สมาชิก พนักงาน หรือบุคคลที่จะได้รับการพิจารณาเสนอชื่อขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังนี้ (1) ต้องมีสัญชาติไทย ข้อ 8 การพิจารณาผลงานและการกระทำความดีความชอบอันเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ศาสนา และประชาชน ของบุคคล ให้พิจารณาภายใต้เงื่อนไขดังต่อไปนี้ ข้อ 9 การเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้แก่สมาชิก พนักงาน หรือบุคคลที่กระทำความดีความชอบตามข้อ 8 ในกรณีปกติให้เสนอขอพระราชทานชั้นที่ 7 เหรียญเงินดิเรกคุณาภรณ์ และอาจพิจารณาเสนอขอพระราชทานในชั้นที่สูงขึ้นตามลำดับ เมื่อกระทำความดีความชอบเพิ่มขึ้นจนถึงชั้นที่ 1 ปฐมดิเรกคุณาภรณ์ โดยเว้นระยะเวลาแต่ละชั้นไม่น้อยกว่าห้าปี ส่วนการเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เป็นกรณีพิเศษให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในบัญชีที่ 1 บัญชีที่ 2 และบัญชีที่ 3 ท้ายข้อบังคับนี้ สำหรับการเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เป็นกรณีพิเศษให้กับบุคคลใดที่ไม่ได้ระบุไว้ ในข้อบังคับฉบับนี้ ให้คณะกรรมการสภาทนายความ โดยความเห็นชอบของสภานายกพิเศษแห่งสภาทนายความ สรุปความชอบของบุคคลผู้นั้นเสนอต่อกระทรวงยุติธรรมเพื่อพิจารณาเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ตามสมควรแก่ความชอบ ข้อ 10 การกระทำความดีความชอบที่เป็นการบริจาคทรัพย์สินเพื่อการวิจัยและพัฒนากฎหมาย การศึกษาวิชากฎหมาย การส่งเสริมความสามัคคีและความสมานฉันท์ของมวลหมู่ผู้ประกอบวิชาชีพทางกฎหมายหรือเพื่อการอื่นให้แก่สภาทนายความ หรือนิติบุคคลที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการวิจัยและพัฒนากฎหมาย การศึกษาวิชากฎหมาย หรือการส่งเสริมความสามัคคีและความสมานฉันท์ของมวลหมู่ผู้ประกอบวิชาชีพทางกฎหมาย ทรัพย์สินที่บริจาคต้องเป็นทรัพย์สินของผู้บริจาค หรือที่ผู้บริจาคมีสิทธิบริจาคได้ในนามของตน และต้องอยู่ภายในเงื่อนไขในพระราชกฤษฎีกา มาตรา 14 (1) (2) (3) (5) และ (6) การบริจาคทรัพย์สินตามวรรคหนึ่ง ให้จัดทำเป็นหนังสือรับรองแสดงรายการบริจาคทรัพย์สินที่บริจาคและให้เลขาธิการสภาทนายความลงลายมือชื่อในหนังสือรับรอง ข้อ 11 การเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นใดให้แก่สมาชิก พนักงาน หรือบุคคลที่กระทำความดีความชอบ ตามข้อ 10 ให้เป็นไปตามมูลค่าของทรัพย์สินที่บริจาคที่กำหนดไว้ในบัญชีที่ 4 ท้ายข้อบังคับนี้ ข้อ 12 ให้คณะกรรมการสภาทนายความ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบคุณสมบัติและผลงานของผู้ที่พึงเสนอชื่อขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ประกอบด้วยประธานกรรมการมรรยาททนายความ เป็นประธานอนุกรรมการ อุปนายกฝ่ายนโยบายและแผนงาน อุปนายกฝ่ายปฏิบัติการ อุปนายกฝ่ายบริหาร อุปนายกฝ่ายกิจการพิเศษ เป็นรองประธานอนุกรรมการ เลขาธิการผู้แทนคณะกรรมการช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย สภาทนายความ ผู้แทนคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนสภาทนายความ ผู้แทนคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมสภาทนายความ ผู้แทนกรรมการบริหารภาคที่คณะกรรมการสภาทนายความพิจารณาแต่งตั้ง จำนวน 2 คน ผู้แทนจากสำนักงานศาลยุติธรรมผู้แทนจากกระทรวงยุติธรรม เป็นอนุกรรมการ เลขานุการคณะกรรมการมรรยาททนายความ เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ ให้คณะอนุกรรมการมีหน้าที่พิจารณาตรวจสอบคุณสมบัติตามข้อบังคับนี้ และผลงานการกระทำความดีความชอบและความเหมาะสมของสมาชิก พนักงาน หรือบุคคลผู้พึงได้รับการพิจารณาเสนอชื่อขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ทั้งในกรณีปกติและกรณีพิเศษ แล้วให้สรุปผลนำเสนอต่อคณะกรรมการสภาทนายความพิจารณารับรอง และให้มีอำนาจแต่งตั้งคณะทำงานปฏิบัติหน้าที่กลั่นกรองจัดเตรียมข้อมูลผลงานการกระทำความดีความชอบของสมาชิก พนักงาน หรือบุคคล แล้วแต่กรณี และปฏิบัติหน้าที่อื่นที่เกี่ยวข้องตามที่คณะอนุกรรมการมอบหมาย ข้อ 13 การเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้แก่สมาชิก พนักงาน หรือบุคคลตามข้อ 12 เมื่อคณะกรรมการสภาทนายความให้การรับรองรายชื่อแล้ว ให้สภาทนายความเสนอชื่อนี้ ต่อกระทรวงยุติธรรม เพื่อพิจารณาดำเนินการตามมาตรา 23 แห่งพระราชกฤษฎีกา ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2550 หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้ข้อบังคับสภาทนายความฉบับนี้ คือ โดยที่พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงตราพระราชบัญญัติทนายความขึ้นเมื่อปี พุทธศักราช 2457 นับเนื่องเป็นเวลาที่ยาวนาน สภาทนายความได้ดำเนินการตามพระราชปณิธาน ในการส่งเสริมวิชาชีพทนายความ รวมทั้งควบคุมการประกอบวิชาชีพทนายความ ตลอดจนส่งเสริมความสามัคคีและผดุงเกียรติของสมาชิกด้วยดีตลอดมา เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ทนายความซึ่งอุทิศตนทำงานช่วยเหลือสังคมในด้านการช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย ตามวัตถุประสงค์ของสภาทนายความ ทั้งในด้านการเป็นวิทยากรผู้ให้คำบรรยายกฎหมายแก่ประชาชนและแก่ทนายความด้วยกัน ทั้งเป็นที่ปรึกษากฎหมายให้คำอธิบายและเผยแพร่ความรู้ทางกฎหมายแก่ประชาชน โดยเฉพาะทนายความผู้เป็นอาสาสมัครให้ความช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย โดยการเข้าเป็นทนายความว่าต่างแก้ต่างให้กับประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม และยากจนตามพระราชบัญญัติทนายความ ควบคุมความประพฤติและจริยธรรมของทนายความตามพระราชบัญญัติทนายความเพื่อไม่ให้ประชาชนทั่วไปเดือดร้อน รวมถึงการปฏิบัติหน้าที่ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ผู้ต้องหา จำเลย หรือผู้เสียหายในคดีอาญา และผู้ถูกควบคุมหรือคุมขัง ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ และตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ให้เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่าเป็นผู้มีความประพฤติดีและมุ่งสร้างสรรค์สังคม ให้อยู่ภายใต้หลักแห่งนิติธรรม ส่งเสริมงานตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเฉพาะพระราชปณิธานแห่งพระองค์ท่านที่จะทรงปกครองแผ่นดินด้วย ความเป็นธรรม ส่งผลให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติ ศาสนา และประชาชนจนเป็นที่ประจักษ์ สมควรได้รับการเสนอชื่อ และขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ จึงจำเป็นต้องตราข้อบังคับนี้ |