

พนักงานสภาทนายความ พ.ศ. 2530 ข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยการพนักงานสภาทนายความ พ.ศ. 2530 ข้อ 1 ข้อบังคับนี้เรียกว่า “ข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยการพนักงานสภาทนายความ พ.ศ. 2530” ข้อ 2 ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อ 3 ในข้อบังคับนี้ “นายก” หมายความว่า นายกสภาทนายความ “คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการสภาทนายความ “พนักงาน” หมายความว่า พนักงานสภาทนายความ ข้อ 4 ให้นายกมีอำนาจออกระเบียบหรือคำสั่งใดๆ เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อบังคับนี้ หมวด 1 คุณสมบัติ คุณวุฒิ ตำแหน่งและอัตราเงินเดือนหรือค่าจ้าง ข้อ 5 พนักงานมี 2 ประเภท ดังนี้ 5.1 พนักงานประจำ คือ พนักงานที่ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหน้าที่เป็นพนักงานประจำ โดยได้รับเงินเดือนเป็นรายเดือน 5.2 พนักงานชั่วคราว คือ พนักงานที่ได้รับการบรรจุเข้าฝึกงาน ทดลองงาน หรือจ้างเป็นพนักงานโดยมีกำหนดเวลา ได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือนหรือรายวันตามคำสั่งการจ้างงาน ผู้ที่สภาทนายความจ้างให้ปฏิบัติงานชั่วคราว ให้ถือว่าเป็นลูกจ้างชั่วคราวเพื่อปฏิบัติงานเฉพาะกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดตามระยะเวลาของโครงการหรือแผนงาน และไม่อยู่ในบังคับแห่งข้อบังคับนี้ ข้อ 6 พนักงานต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้ ข้อ 8/1 พนักงานสภาทนายความ ให้ได้รับเงินเดือนที่ได้รับแต่งตั้ง ดังต่อไปนี้ ข้อ 9 ในกรณีที่พนักงานตำแหน่งใดไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นครั้งคราว หรือพนักงานตำแหน่งใดว่างลงให้นายกมอบหมายให้พนักงานระดับรองลงไปเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน หรือรักษาการแทนเฉพาะงานหรือทั้งหมดเพื่อมิให้เกิดความเสียหายแก่งานในหน้าที่นั้น ข้อ 10 อัตราเงินเดือน หรือค่าจ้างของพนักงาน ให้เป็นไปตามบัญชีอัตราเงินเดือนพนักงานที่แนบท้ายข้อบังคับนี้ ข้อ 11 การกำหนดวัน เวลาปฏิบัติงาน การหยุดงาน การลา ของพนักงานให้เป็นไปตามระเบียบที่นายกจะเป็นผู้กำหนด โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ หมวด 2 ข้อ 12 ผู้สมัครเข้าเป็นพนักงานจะต้องปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับและคำสั่งของสภาทนายความ ข้อ 13 การบรรจุเข้าเป็นพนักงานประจำ การแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง การเลื่อนตำแหน่ง ให้นายกมีอำนาจออกระเบียบโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ การบรรจุบุคคลเข้าเป็นพนักงานชั่วคราว หรือลูกจ้างชั่วคราวเพื่อกิจการใดกิจการหนึ่ง ให้นายกเป็นผู้มีอำนาจพิจารณาจ้างตามที่เห็นเป็นการสมควรเพื่อประโยชน์แก่สภาทนายความ การบรรจุเข้าดำรงตำแหน่งครั้งแรก จะได้ชั้นใด ระดับใด ให้นายกมีอำนาจออกเป็นระเบียบ โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ข้อ 14 การบรรจุและแต่งตั้งพนักงานที่ลาไปรับราชการทหารตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร เมื่อพ้นจากประจำการ หรือได้รับอนุญาตให้ลาพัก เพื่อรอการปลดและประสงค์จะกลับเข้าปฏิบัติงานให้นายกวางระเบียบโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการไว้เป็นหลักปฏิบัติ ข้อ 15 การแต่งตั้งพนักงานให้ดำรงตำแหน่งสูงขึ้น หรือแต่งตั้งให้รักษาการในตำแหน่งที่ว่าง ให้นายกเป็นผู้มีอำนาจในการแต่งตั้ง โดยความเห็นชอบของคณะกรรมกา ข้อ 16 การโยกย้าย สับเปลี่ยนหน้าที่ของพนักงานในฝ่ายหรือต่างฝ่าย ให้ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของฝ่ายหรือสำนักงานนั้นๆ เสนอความเห็นต่อนายกเพื่อพิจารณาและลงนามในคำสั่ง ข้อ 17 นายกมีอำนาจพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนหรือค่าจ้างพนักงานตามบัญชีอัตราเงินเดือน โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ข้อ 18 การพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนหรือค่าจ้างพนักงาน โดยปกติให้เลื่อนได้ปีละ 1 ขั้น ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมของปีที่เลื่อนนั้น และพนักงานที่อยู่ในเกณฑ์ที่จะได้เลื่อนขั้นเงินเดือนหรือค่าจ้างจะต้องเป็นผู้ที่ “ในรอบปีที่แล้วมา” หมายความว่า ระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 31 ธันวาคม ของปีนั้น ข้อ 19 การพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนเกินกว่าหนึ่งขั้น ให้อยู่ในหลักเกณฑ์ตามข้อ 18 และในหลักเกณฑ์ประการใดประการหนึ่งดังต่อไปนี้ คือ ข้อ 20 ผู้ซึ่งสมควรได้เลื่อนขั้นเงินเดือนหรือค่าจ้างเป็นกรณีพิเศษเกินกว่า 1 ขั้น ตามข้อ 19 แต่ขาดหลักเกณฑ์ในข้อ 18 (4) ถ้าผู้นั้นได้รับการบรรจุหรือแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหน้าที่เป็นพนักงานประจำแล้วหรือเลื่อนขั้นเงินเดือนหรือค่าจ้าง หรือปรับเงินเดือนหรือค่าจ้างมาแล้วตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไปให้เลื่อนขั้นเงินเดือนหรือค่าจ้างได้ไม่เกิน 1 ขั้น หมวด 4 ข้อ 21 พนักงานต้องรักษาวินัยโดยเคร่งครัดอยู่เสมอ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามถือว่าผู้นั้นกระทำผิดวินัย ต้องได้รับโทษตามที่กล่าวไว้ในหมวดนี้ ข้อ 22 พนักงานต้องปฏิบัติหน้าที่การงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและเที่ยงธรรม ห้ามมิให้ผู้อื่นอาศัย หรือยอมให้ผู้อื่นอาศัยอำนาจหน้าที่ของตน ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมหาประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือผู้อื่นเป็นความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง การปฏิบัติหรือการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ข้อ 23 พนักงานต้องรักษาความลับของสภาทนายความ การเปิดเผยความลับของสภาทนายความอันเป็นเหตุให้เสียหายแก่สภาทนายความ เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ข้อ 24 พนักงานต้องปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ซึ่งสั่งในหน้าที่การงานหรือชอบด้วยกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และคำสั่งของสภาทนายความ โดยมิให้ขัดขืนหรือหลีกเลี่ยง การขัดคำสั่ง หรือหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาซึ่งสั่งในหน้าที่การงานโดยชอบด้วยกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับและคำสั่งของสภาทนายความอันเป็นเหตุให้เสียหายแก่สภาทนายความ ถือเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ข้อ 25 พนักงานต้องปฏิบัติงานโดยมิให้เป็นการกระทำข้ามผู้บังคับบัญชาเหนือตน เว้นแต่ผู้บังคับบัญชาเหนือตนขึ้นไปเป็นผู้สั่งให้กระทำ หรือได้รับอนุญาตเป็นพิเศษเป็นครั้งคราว ข้อ 26 พนักงานต้องไม่รายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา การรายงานโดยปกปิด ข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง ถือว่าเป็นการรายงานเท็จด้วย การรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา อันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่สภาทนายความ เป็นความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ข้อ 27 พนักงานต้องสนับสนุนนโยบายของสภาทนายความและต้องตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ตามนโยบาย ระเบียบ ข้อบังคับ หรือคำสั่งของสภาทนายความให้เกิดผลดีและมีความก้าวหน้าแก่สภาทนายความด้วยความอุตสาหะเอาใจใส่และระมัดระวังรักษาผลประโยชน์ของสภาทนายความ ข้อ 28 พนักงานต้องอุทิศเวลาของตนให้แก่กิจการงานของสภาทนายความ จะละทิ้งหรือทอดทิ้งหน้าที่การงานมิได้ การละทิ้งหน้าที่การงานโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร เป็นเหตุให้เสียหายแก่สภาทนายความอย่างร้ายแรง หรือละทิ้งหน้าที่การงานติดต่อในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกินกว่าเจ็ดวันโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร หรือมีพฤติการณ์แสดงถึงความจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบคำสั่งและข้อบังคับของสภาทนายความ เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ข้อ 29 พนักงานต้องสุภาพเรียบร้อยและรักษาความสามัคคีระหว่างพนักงาน และช่วยเหลือซึ่งกันและกันในหน้าที่การงาน ผู้บังคับบัญชาผู้ใดละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามข้อนี้โดยไม่สุจริต ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำผิดวินัยด้วย ข้อ 35 โทษผิดวินัยมี 6 สถาน ข้อ 36 การลงโทษพนักงาน นายกเป็นผู้มีอำนาจสั่งลงโทษพนักงานได้ตามข้อ 35 โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ข้อ 38 พนักงานผู้ใดกระทำผิดวินัยที่ยังไม่ถึงขั้นเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงให้สั่งลงโทษภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือนหรือค่าจ้างหรือลดขั้นเงินเดือนหรือค่าจ้างตามควรแก่กรณี ให้เหมาะสมกับความผิดถ้ามีเหตุอันควรลดหย่อนจะนำมาประกอบการพิจารณาลดโทษก็ได้ แต่สำหรับการลงโทษภาคทัณฑ์ให้ใช้เฉพาะกรณีกระทำผิดวินัยเล็กน้อย หรือมีเหตุอันควรลดหย่อน ซึ่งยังไม่ถึงกับจะต้องถูกลงโทษตัดเงินเดือน ในกรณีกระทำผิดวินัยเล็กน้อยและเป็นความผิดครั้งแรก ถ้าเห็นว่ามีเหตุอันควรงดโทษจะงดโทษให้โดยว่ากล่าวตักเตือนหรือให้ทำทัณฑ์บนหรือเป็นหนังสือไว้ก่อนก็ได้ ข้อ 39 พนักงานผู้ใดกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจะต้องได้รับโทษให้ออก ปลดออก หรือไล่ออก ตามความร้ายแรงแห่งกรณี ถ้ามีเหตุอันควรลดหย่อนจะนำมาประกอบการพิจารณาลงโทษก็ได้ แต่ห้ามมิให้ลดโทษลงต่ำกว่าให้ออก พนักงานผู้ใดมีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงและเห็นว่ากรณีมีมูลอันควรสอบสวน ให้นายกตั้งคณะกรรมการขึ้นมาทำการสอบสวนโดยไม่ชักช้า จำนวนของกรรมการจะมีเท่าใดให้นายกเป็นผู้กำหนด แต่มิให้เกิน 5 คน แต่ไม่ต่ำกว่า 3 คน ในการสอบสวนจะต้องแจ้งข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหาเท่าที่มีให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบ โดยจะระบุหรือไม่ระบุชื่อพยานก็ได้ และต้องให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงและนำพยานหลักฐานเข้าสืบแก้ข้อกล่าวหาได้ด้วย ข้อ 40 ให้คณะกรรมการสอบสวนทำการสอบสวนให้เสร็จภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับทราบคำสั่งแต่งตั้ง หากไม่สามารถดำเนินการสอบสวนให้เสร็จภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ให้คณะกรรมการสอบสวนขอขยายระยะเวลาสอบสวนต่อนายกได้อีกไม่เกิน 2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 15 วัน ในการพิจารณา ให้คณะกรรมการสอบสวนตัดสินโดยการลงมติถือเอาเสียงข้างมาก ผู้ถูกกล่าวหาอาจอุทธรณ์คำสั่งของคณะกรรมการสอบสวนต่อนายกโดยต้องแสดงว่าคำสั่งของคณะกรรมการสอบสวนไม่ถูกต้องอย่างไร ภายใน 7 วันนับจากวันทราบคำสั่ง เพื่อประโยชน์แห่งการนี้นายกมีอำนาจเรียกบุคคลหรือเอกสารที่ได้แสดงไว้แล้วต่อคณะกรรมการสอบสวนมาประกอบการพิจารณา คำสั่งของนายกเป็นที่สุด การอุทธรณ์ไม่เป็นเหตุแห่งการเพิ่มโทษ แต่หากสมควรจะลดโทษก็ได้แต่มิให้ลดต่ำเกินกว่า 1 ขั้นของโทษเดิม หมวด 5 ข้อ 42 พนักงานพ้นจากตำแหน่งเมื่อ ข้อ 43 พนักงานผู้ใดพ้นจากตำแหน่งหน้าที่เพราะตายให้จ่ายเงินเดือนหรือค่าจ้างถึงวันตาย ข้อ 44 พนักงานผู้ใดประสงค์จะลาออก ให้ยื่นหนังสือขอลาออกต่อผู้บังคับบัญชาชั้นต้นล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน ให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาว่าสมควรจะอนุญาตให้ลาออกหรือไม่ หรือควรยับยั้งการอนุญาตให้ลาออกไว้ก่อนตามหลักเกณฑ์ในข้อนี้ พร้อมด้วยหลักฐานโดยชัดเจนและมูลเหตุอื่นที่ขอลาออก นอกจากที่ระบุไว้ในใบลาออก รายงานเสนอตามลำดับจนถึงนายกภายในกำหนดเวลาไม่เกิน 20 วัน เมื่อนายกมีคำสั่งให้ลาออกแล้วจึงให้ถือว่าพนักงานผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งหน้าที่โดยการลาออก ถ้าได้รับหนังสือลาออกภายในระยะเวลาน้อยกว่ากำหนด 30 วัน และผู้บังคับบัญชาพิจารณาว่าจะไม่ก่อให้เกิดผลเสียแก่การทำงาน ประกอบทั้งผู้ขอลาออกมีเหตุผลและความจำเป็นที่จะต้องขอลาออกโดยด่วนก็ชให้อยู่ในดุลยพินิจที่จะรับพิจารณาได้เป็นการเฉพาะราย นายกมีอำนาจยับยั้งการลาออกในกรณีต่อไปนี้ (1) ผู้ขอลาออกมีเรื่องถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยหรือกระทำผิดทางอาญาซึ่งมิใช่ความผิดอันได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ ให้ยับยั้งการอนุญาตให้ลาออกไว้ก่อนเพื่อรอฟังผลของเรื่องที่ถูกกล่าวหา แต่เมื่อเรื่องถึงที่สุดแล้ว พนักงานผู้นั้นไม่ถูกลงโทษให้ออก ปลดออก หรือไล่ออก จึงอนุญาตให้ลาออกได้ หากพนักงานผู้นั้นถูกสั่งลงโทษให้ออก ปลดออก หรือไล่ออก จะอนุญาตให้ลาออกไม่ได้ (2) พนักงานผู้ขอลาออกมีภาระผูกพันหรือหนี้สินกับสภาทนายความให้ยับยั้งการอนุญาตให้ลาออกไว้ก่อนจนกว่าพนักงานผู้นั้นจะปลดเปลื้องภาระผูกพันหรือหนี้สินที่มีให้หมดสิ้น หรือได้ทำความตกลงให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว (3) พนักงานผู้ขอลาออกยังส่งมอบงานไม่แล้วเสร็จการสั่งอนุญาตให้ลาออกหรือไม่ หรือการยับยั้งการอนุญาตให้ลาออกให้นายกสั่งภายในกำหนดเวลาไม่เกิน 10 วัน นับแต่วันที่รับเรื่องการขอลาออก ข้อ 45 นายกอาจสั่งให้พนักงานผู้ใดพ้นจากตำแหน่งหน้าที่โดยการให้ออกในกรณีข้อหนึ่งข้อใด ต่อไปนี้ ข้อ 46 พนักงานผู้ใดประสงค์จะสมัครรับเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้ลาออกก่อนวันรับสมัครเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 7 วัน พนักงานผู้ใดไม่ลาออกตามวรรคหนึ่งให้นายกสั่งปลดออก ข้อ 47 ภายใต้บังคับ ข้อ 39 เมื่อพนักงานกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงดังต่อไปนี้ ให้ไล่ออก
ข้อ 48 นายกมีอำนาจออกคำสั่งให้พนักงานพักงานได้ในกรณีดังต่อไปนี้ ข้อ 49 ห้งดจ่ายเงินเดือนหรือค่าจ้างและสิทธิอื่นๆ แก่พนักงานผู้ถูกสั่งให้พักงาน ข้อ 50 ในกรณีที่สั่งให้พักงานพนักงานผู้ใด ถ้าปรากฏว่า ข้อ 51 ถ้าผู้ถูกสั่งพักงานตายเสียก่อนคดีหรือกรณีถึงที่สุด และคดีหรือกรณีนั้นจำต้องระงับตามกฎหมาย ให้นายกวินิจฉัยตามหลักฐานเท่าที่มีอยู่ว่า จะจ่ายเงินเดือนหรือค่าจ้างและสิทธิอื่นที่งดจ่ายไว้หรือไม่ หมวด 7 ข้อ 52 ให้สภาทนายความจัดสวัสดิการแก่พนักงานตามระเบียบที่นายกจะเป็นผู้กำหนด โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ประกาศ ณ วันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2530
ข้อบังคับสภาทนายความ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 27 (3) (จ) และด้วยความเห็นชอบของสภานายกพิเศษแห่งสภาทนายความ ตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528 คณะกรรมการสภาทนายความออกข้อบังคับว่าด้วยการพนักงานสภาทนายความไว้ ดังต่อไปนี้ 1. ข้อบังคับนี้เรียกว่า `ข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยการพนักงานสภาทนายความ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2533' 2. ข้อบังคับนี้ให้ใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2533 เป็นต้นไป 3. ให้ยกเลิก บัญชีอัตราเงินเดือนพนักงานที่แนบท้ายข้อบังคับสภาทนายความ ว่าด้วยการพนักงานสภาทนายความ พ.ศ. 2530 และให้ใช้บัญชีอัตราเงินเดือนพนักงานที่แนบท้ายข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยการพนักงานสภาทนายความ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2533 นี้แทน ประกาศ ณ วันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2533 หมายเหตุ :-เหตุผลในการประกาศใช้ข้อบังคับฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงอัตราเงินเดือนพนักงานให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศ แต่ข้อบังคับสภาทนายความ ว่าด้วยการพนักงานสภาทนายความ พ.ศ. 2530 ข้อ 10 ได้กำหนดอัตราเงินเดือนหรือค่าจ้างของพนักงานให้เป็นไปตามบัญชีอัตราเงินเดือนพนักงานที่แนบท้ายข้อบังคับ จึงจำเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับสภา
ว่าด้วยพนักงานสภาทนายความ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2535
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้ข้อบังคับสภาทนายความฉบับนี้ คือ โดยที่ได้มีการประกาศ ใช้บัญชีอัตราเงินเดือนข้าราชการพลเรือน หมายเลข 1 ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2535 ให้สอดคล้อง กับสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจ จึงเป็นการสมควรปรับปรุงอัตราเงินเดือนพนักงานสภาทนายความให้ สอดคล้องกับสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศด้วย จึงจำเป็นต้องยกเลิกบัญชีอัตราเงินเดือน พนักงานสภาทนายความตามข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยการพนักงานสภาทนายความ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2533 โดยให้ใช้บัญชีอัตราเงินเดือนพนักงานสภาทนายความ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2535 นี้แทน
ข้อบังคับสภาทนายความ ว่าด้วยพนักงานสภาทนายความ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2536 ข้อ 6 ในกรณีที่พนักงานสภาทนายความ ได้เลื่อนขึ้นรับเงินเดือนในระดับสูงขึ้น ให้ได้รับเงินเดือนในอัตราขั้นต่ำของระดับที่เลื่อนขึ้น แต่ถ้าผู้นั้นได้รับเงินเดือนสูงกว่าขั้นต่ำในระดับที่เลื่อนขึ้น ก็ให้ได้รับเงินเดือนในระดับที่เลื่อนขึ้นซึ่งมีจำนวนเท่ากับเงินเดือนที่ได้ ในกรณีที่เงินเดือนในขั้นของระดับที่เลื่อนขึ้น ไม่มีจำนวนที่เท่ากับเงินเดือนที่ได้ ก็ให้ได้รับเงินเดือนในขั้นซึ่งมีจำนวนสูงกว่าเงินเดือนที่ได้รับอยู่น้อยที่สุด หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้ข้อบังคับสภาทนายความฉบับนี้ คือ โดยที่ได้กำหนด ตำแหน่งรองหัวหน้าฝ่าย,ผู้ช่วยหัวหน้าฝ่าย, รองหัวหน้างาน และผู้ช่วยหัวหน้างานขึ้นมาใหม่ เพื่อขยายตำแหน่งและรองรับปริมาณงานที่เพิ่มมากขึ้น จึงจำเป็นต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตำแหน่งพนักงานใหม่และโดยที่สภาทนายความได้ใช้บัญชีอัตราเงินเดือนบัญชี 1 (ฉบับที่ 4) มาตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2535 นั้น ปรากฏว่าสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจได้เปลี่ยนแปลงไป จึงเป็นการสมควรปรับปรุงอัตราเงินเดือนพนักงานสภาทนายความ ให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศ ฉะนั้นจำเป็นต้องยกเลิกบัญชีอัตราเงินเดือนพนักงานสภาทนายความ ตามข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยการพนักงานสภาทนายความ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2535 โดยให้ใช้บัญชีอัตราเงินเดือนพนักงานสภาทนายความ บัญชี 2 (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2536 แทน
ข้อบังคับสภาทนายความ ว่าด้วยพนักงานสภาทนายความ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2538 ข้อ 4 ในกรณีที่พนักงานสภาทนายความ ได้เลื่อนขึ้นรับเงินเดือนในระดับสูงขึ้น ให้ได้รับเงินเดือนในอัตราขั้นต่ำของระดับที่เลื่อนขึ้น แต่ถ้าผู้นั้นได้รับเงินเดือนสูงกว่าขั้นต่ำในระดับที่เลื่อนขึ้นจึงให้ได้รับเงินเดือนในขั้นของระดับที่เลื่อนขึ้นซึ่งมีจำนวนเท่ากับเงินเดือนที่ได้รับอยู่ ในกรณีที่เงินเดือนในขั้นของระดับที่เลื่อนขึ้นไม่มีจำนวนที่เท่ากับเงินเดือนที่ได้รับอยู่ ก็ให้ได้รับเงินเดือนในขั้นซึ่งมีจำนวนสูงกว่าเงินเดือนที่ได้รับอยู่น้อยที่สุด หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้ข้อบังคับสภาทนายความฉบับนี้ คือ โดยที่สภาทนายความ ได้ใช้บัญชีอัตราเงินเดือนบัญชี 2 (ฉบับที่ 5) มาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2537 นั้น ปรากฎว่าสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจได้เปลี่ยนแปลงไปจึงเป็นการสมควรปรับปรุงโครงสร้างอัตราเงินเดือนพนักงานสภาทนายความ ให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศ ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องยกเลิกบัญชีอัตราเงินเดือนพนักงานสภาทนายความตามข้อบังคับสภาทนายความ ว่าด้วยการพนักงานสภาทนายความ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2536 โดยให้ใช้บัญชีอัตราเงินเดือนพนักงานสภาทนายความ บัญชี 3 (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2538 แทน
ข้อบังคับสภาทนายความ ว่าด้วยพนักงานสภาทนายความ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2542 หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้ข้อบังคับสภาทนายความฉบับนี้ คือ โดยที่สภาทนายความได้ชับัญชีอัตราเงินเดือนบัญชีที่ 3 (ฉบับที่ 6) มาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2538 นั้นปรากฏว่าได้มีการประกาศใช้อัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 162 บาท ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2540 ทำให้บัญชีอัตรเงินเดือนพนักงานสภาทนายความ ซึ่งเริ่มที่ 4,500 บาทต่อเดือนต่ำกว่ามาตรฐานค่าจ้างขั้นต่ำ ประกอบกับสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจได้เปลี่ยนแปลงไป จึงเป็นการสมควรปรับปรุงโครงสร้างอัตราเงินเดือนพนักงานสภาทนายความ ให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศ ฉะนั้น จึงจำเป็นต้องยกเลิกบัญชีอตราเงินเดือนพนักงานสภาทนายความตามข้อบังคับสภาทนายความ ว่าด้วยการพนักงานสภาทนายความ บัญชีที่ 3 (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2538 โดยให้ใช้บัญชีอัตราเงินเดือนพนักงานสภาทนายความ บัญชี 4 (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2542 แทน
|