ReadyPlanet.com
dot
ประมวลกฎหมาย
dot
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletพระราชบัญญัติ
bulletความรู้กฎหมาย
bulletสำนัก,ทนาย,ทนายความ
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletปรึกษากฎหมาย
bulletวิชาชีพทนายความ
bulletข้อบังคับสภาทนายความ
bulletคำพิพากษาฎีกา
bulletเช่าซื้อขายฝากซื้อขาย
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletเกี่ยวกับ วิ.แพ่ง
bulletคดีเกี่ยวกับวิ.อาญา
bulletคำพิพากษารวม
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletการสิ้นสุดการสมรส
dot
Newsletter

dot




แต่งงานแล้วหญิงไม่ยอมร่วมหลับนอน

ทนายความ

-ปรึกษากฎหมาย ทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ โทร.085-9604258

-ติดต่อทางอีเมล  : leenont0859604258@yahoo.co.th

-ปรึกษากฎหมายผ่านทางไลน์ ไอดีไลน์  ID line  :  leenont 

ไม่มีเจตนาสมรส, ทรัพย์สินที่ให้แก่กันไม่ใช่ของหมั้น, ไม่ใช่สินสอด, ไม่มีสิทธิเรียกคืน

การแต่งงานโดยวิธีผูกข้อมือแสดงว่ามิได้มีเจตนาจะทำการสมรสโดยจดทะเบียน ทรัพย์สินที่มอบให้ฝ่ายหญิงจึงไม่ใช่ของหมั้นเพราะไม่ใช่ทรัพย์สินที่มอบให้เพื่อเป็นหลักฐานการหมั้นและประกันว่าจะสมรสกัน และไม่ใช่สินสอดเพราะไม่ใช่ทรัพย์สินที่ให้แก่บิดามารดาของหญิง เพื่อตอบแทนการที่หญิง ยอมสมรสตามกฎหมายจึงไม่มีสิทธิเรียกคืน ส่วนการที่หญิงไม่ยอมให้ร่วมหลับนอนนั้นเป็นสิทธิของหญิงเพราะการสมรสจะทำได้ต่อเมื่อหญิงยินยอมเป็นสามีภริยากับชาย ไม่เป็นการละเมิดต่อชายหรือผิดสัญญาหมั้นไม่มีสิทธิเรียกค่าทดแทนหรือค่าเสียหาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  592/2540

          โจทก์ตกลงแต่งานกับจำเลยที่ 3 โดยวิธีผูกข้อมือแสดงว่าโจทก์และจำเลยที่ 3 มิได้มีเจตนาจะทำการสมรสโดยจดทะเบียนสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1457 ดังนั้นทรัพย์สินที่โจทก์มอบให้จำเลยทั้งสองจึงไม่ใช่ของหมั้นเพราะไม่ใช่ทรัพย์สินที่โจทก์มอบให้จำเลยทั้งสามเพื่อเป็นหลักฐานการหมั้นและประกันว่าจะสมรสกับจำเลยที่ 3 และไม่ใช่สินสอดเพราะไม่ใช่ทรัพย์สินที่โจทก์ให้แก่จำเลยที่ 1และที่ 2 บิดามารดาของจำเลยที่ 3 เพื่อตอบแทนการที่จำเลยที่ 3 ยอมสมรสตามมาตรา 1437 โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกคืน การที่จำเลยที่ 3 ไม่ยอมให้โจทก์ร่วมหลับนอนนั้นเป็นสิทธิของจำเลยที่ 3 เพราะการสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยที่3จะทำได้ต่อเมื่อจำเลยที่3ยินยอมเป็นสามีภริยากับโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1457 การที่จำเลยที่ 3 ไม่ยินยอมหลับนอนกับโจทก์ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์หรือผิดสัญญาหมั้นโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าทดแทนหรือค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1439 และมาตรา 1440

          โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2538 โจทก์แต่งงานโดยวิธีผูกข้อมือกับจำเลยที่ 3 มีจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นบิดามารดาจำเลยที่ 3 ยินยอม โจทก์เสียเงินสินสอด 20,000 บาททองหมั้นหนัก 2 บาท ราคา 10,000 บาท โจทก์และจำเลยที่ 3ได้รับทรัพย์รับไหว้จากญาติเป็นเงิน 7,739 บาท เป็นส่วนของโจทก์ 2,369.50 บาท โจทก์เสียค่าใช้จ่ายเนื่องในการเตรียมการสมรสเป็นเงิน 6,600 บาท ครั้นโจทก์ไปบ้านจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ขัดขวางไม่ยอมให้ขึ้นบ้านเพื่อหลับนอนฉันสามีภริยากับจำเลยที่ 3 ทั้งจำเลยที่ 3 ก็ไม่ยอมเช่นกัน การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์รับความอับอายขอคิดค่าเสียหายต่อชื่อเสียงเป็นเงิน 20,000 บาท จำเลยทั้งสามต้องคืนสินสอดทองหมั้นและทรัพย์รับไหว้ส่วนของโจทก์กับชดใช้ค่าใช้จ่ายเนื่องในการเตรียมการสมรสเป็นเงิน 6,600 บาทโจทก์ทวงถามแล้วจำเลยทั้งสามเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามคืนเงินสินสอด 20,000 บาท ทองหมั้นหนัก 2 บาท หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 10,000 บาท ทรัพย์รับไหว้ 2,369.50 บาท กับชดใช้ค่าใช้จ่ายเนื่องในการเตรียมการสมรส 6,600 บาท ค่าเสียหายต่อชื่อเสียง 20,000 บาท รวมเป็นเงิน 58,696.50 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

          ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้ววินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องไม่ปรากฏว่าการกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นการกระทำละเมิดโจทก์รวมทั้งไม่ถือว่ามีการผิดสัญญาหมั้น โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสามให้ยกฟ้อง

          โจทก์ อุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รับฟ้องในส่วนที่เกี่ยวกับคำขอให้จำเลยทั้งสามชำระเงินค่าผูกข้อมือจำนวน 2,369.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ไว้พิจารณาต่อไป และมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

          โจทก์ ฎีกา

          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาข้อเดียวว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกเงินสินสอด ทองหมั้น และค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสามขอให้ศาลฎีกาสั่งรับฟ้องของโจทก์ทั้งหมด ปรากฏว่า โจทก์ฟ้องโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม2538 โจทก์ได้แต่งงานโดยวิธีผูกข้อมือกับจำเลยที่ 3 โดยเสียสินสอดไป 20,000 บาท ทองหมั้นหนัก 2 บาท คิดเป็นเงิน 20,000 บาทจำเลยที่ 1 และที่ 2 กีดกันไม่ให้โจทก์หลับนอนกับจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 ก็ไม่ยอมหลับนอนกับโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสามชดใช้ค่าเสียหาย ค่าสินสอดและทองหมั้นให้โจทก์ เห็นว่า โจทก์ตกลงแต่งงานกับจำเลยที่ 3 โดยวิธีผูกข้อมือแสดงว่าโจทก์และจำเลยที่ 3 มิได้มีเจตนาจะทำการสมรสโดยจดทะเบียนสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1457 ฉะนั้น ทรัพย์สินที่โจทก์มอบให้จำเลยทั้งสามจึงไม่ใช่ของหมั้นเพราะไม่ใช่ทรัพย์สินที่โจทก์มอบให้จำเลยทั้งสามเพื่อเป็นหลักฐานการหมั้นและประกันว่าจะสมรสกับจำเลยที่ 3 และไม่ใช่สินสอดเพราะไม่ใช่ทรัพย์สินที่โจทก์ให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 บิดามารดาของจำเลยที่ 3 เพื่อตอบแทนการที่จำเลยที่ 3 ยอมสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1437 โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกคืน ส่วนการที่จำเลยที่ 3 ไม่ยอมให้โจทก์ร่วมหลับนอนนั้นเป็นสิทธิของจำเลยที่ 3 เพราะการสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 3 จะทำได้ต่อเมื่อจำเลยที่ 3 ยินยอมเป็นสามีภริยากับโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1458 การที่จำเลยที่ 3 ไม่ยินยอมหลับนอนกับโจทก์ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ หรือผิดสัญญาหมั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าทดแทนหรือค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1439 และมาตรา 1440

          พิพากษายืน

( สถิตย์ ไพเราะ - เฉลิมชัย เกษมสันต์ - จุมพล ณ สงขลา )
 

ของหมั้นและสินสอดตามกฎหมาย, เรียกสินสอดของหมั้นคืนไม่ได้
ขณะหมั้นหญิงคู่หมั้นอายุยังไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ หลังแต่งงานและอยู่กินด้วยกันนานประมาณ 1 เดือน  ตลอดเวลาที่อยู่กินด้วยกัน ชายมุ่งประสงค์จะแต่งงานอยู่กินกับตามประเพณีเป็นสำคัญ หาได้นำพาต่อการจดทะเบียนสมรสไม่ เงินทั้งหลายที่ชายมอบให้แก่หญิงจึงไม่ใช่ของหมั้นและสินสอดตามกฎหมายแม้จะมีการหมั้นกันตามประเพณีและมอบทรัพย์สินให้แก่กัน ชายก็หามีสิทธิเรียกคืนไม่


จดทะเบียนสมรสกันแล้วเรียกค่าสินสอด,ของหมั้นคืนไม่ได้
กรณีที่ฝ่ายชายจะมีสิทธิเรียกค่าสินสอดของหมั้นและค่าทดแทนค่าใช้จ่ายในการแต่งงานคืนจากฝ่ายหญิงได้นั้น ต้องเป็นกรณีที่มีการหมั้นแล้ว แต่ไม่มีการสมรสโดยเป็นความผิดของฝ่ายหญิง  เมื่อปรากฏว่า ทั้งสองได้แต่งงานกันตามประเพณีและจดทะเบียนสมรสกันแล้ว สามีจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าสินสอดทองหมั้นและค่าทดแทน ค่าใช้จ่ายในการแต่งงานคืนจากภริยาได้

ผิดสัญญาหมั้นเรียกสินสอดคืน
ทำสัญญาหมั้น และแต่งงานตามประเพณีแล้ว ได้อยู่กินร่วมหลับนอนกันนาน 8 เดือนโดยมิได้ไปจดทะเบียนสมรส จึงเกิด จากการละเลยของทั้งสองฝ่ายที่มิได้ยึดถือเอาการจดทะเบียนสมรส เป็นเรื่องสำคัญมากกว่าการที่จะได้อยู่กินด้วยกันตามประเพณี เท่านั้น จึงมิอาจกล่าวโทษได้ว่าการที่มิได้ไปจดทะเบียนสมรส เกิดจากความผิดของฝ่ายใด

ปัญหาเรื่องลาภมิควรได้กับฟ้องเรียกทรัพย์คืน
การฟ้องคดีเป็นเรื่องฟ้องเรียกทรัพย์คืนหรือเรื่องลาภมิควรได้? โจทก์(ธนาคาร)คืนเงินให้นายอภิชัยครั้งแรกโดยโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากร้าน เอ.ที.เอ็ม. คอนสตรัคชั่น ส่วนการคืนเงินให้จำเลยในครั้งหลังสั่งจ่ายเป็นแคชเชียร์เช็คก็ตาม กรณีเป็นเพียงวิธีคืนเงินโดยฝากเข้าบัญชีเงินฝากเท่านั้น การที่โจทก์ใช้สิทธิฟ้องจำเลยให้คืนเงินที่รับไปนั้น เป็นเรื่องที่กล่าวอ้างว่าจำเลยรับเงินไปโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้

ผู้เช่าไม่อาจเข้าใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินที่เช่า
ในขณะทำสัญญาเช่ามีบุคคลภายนอกรบกวนขัดสิทธิอยู่ในทรัพย์สินที่เช่าอยู่ก่อนผู้เช่า ทำให้ผู้เช่าไม่อาจเข้าไปใช้ประโชชน์ในทรัพย์สินที่เช่า เมื่อผู้เช่ายังไม่ได้เข้าไปครอบครองหรือรับมอบการครอบครองทรัพย์สินที่เช่า ผู้เช่าจึงยังไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิ แต่บุคคลภายนอกนั้นโต้แย้งสิทธิของผู้ให้เช่า ดังนั้นผู้เช่าจึงยังไม่มีอำนาจฟ้องบุคคลภายนอกนั้น ทางแก้ของผู้เช่าในเรื่องนี้ก็โดยผู้เช่าต้องขอให้ศาลหมายเรียกผู้ให้เช่าเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมในคดีฟ้องขับไล่

สั่งจ่ายเช็คหลังคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์มีผลอย่างไร
การออกเช็คเพื่อชำระหนี้เงินกู้ยืมและหนี้นั้นเกิดขึ้นภายหลังจากที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วจะมีผลต่อมูลหนี้ของลูกหนี้หรือผู้ออกเช็คอย่างไรบ้าง? เรื่องนี้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการที่ลูกหนี้ออกเช็คโดยไม่ได้กระทำการตามคำสั่งหรือความเห็นชอบของศาล เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ หรือที่ประชุมเจ้าหนี้ จึงเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย มูลหนี้เงินกู้ตามเช็คตกเป็นโมฆะไม่สามารถบังคับได้ตามกฎหมาย

สัญญาที่ทำขึ้นโดยไม่มีเจตนาแท้จริงให้ผูกพันกัน
สัญญาซื้อขายบ้านและที่ดินพิพาทเป็นสัญญาที่ทำขึ้นโดยไม่มีเจตนาแท้จริงให้ผูกพันกัน เป็นการแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กันระหว่างโจทก์และจำเลย เพื่อให้โจทก์นำที่ดินและบ้านพิพาทไปจำนองเป็นประกันหนี้กู้ยืมต่อธนาคาร และให้จำเลยทำสัญญาเช่าเพื่อเป็นประกันการผ่อนชำระหนี้แก่ธนาคาร สัญญาซื้อขายและสัญญาเช่าดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 155 วรรคหนึ่ง (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2952/2554)
 


ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาทนายความลีนนท์  พงษ์ศิริสุวรรณ  โทร.  0859604258  *  www.peesirilaw.com  *




บรรพ 5 ครอบครัว

มีชื่อในสูติบัตรว่าเป็นบิดายังไม่เพียงพอ
คดีครอบครัวและมรดกของผู้นับถือศาสนาอิสลามสี่จังหวัด
สมัครใจและเต็มใจที่จะจดทะเบียนสมรสกัน
รางวัลที่ 1 สลากกินแบ่งรัฐบาล สินสมรสหรือสินส่วนตัว
เรียกค่าทดแทนจากภริยานอกกฎหมาย
มอบสัญญาเงินกู้เป็นของหมั้น สัญญาจะให้ทรัพย์สินเป็นของหมั้น
ไม่มีเจตนาจดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย เงินที่มอบให้ไม่ใช่ของหมั้นและสินสอด
สินสมรสตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย
การสมรสฝ่าฝืนมาตรา 1458 เป็นโมฆะ
การแบ่งสินสมรสตามกฎหมายเดิม