
ไม่มีเจตนาจดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย เงินที่มอบให้ไม่ใช่ของหมั้นและสินสอด (ยินดีให้คำปรึกษากฎหมาย ติดต่อทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ โทร.085-9604258 ติดต่อทางอีเมล : leenont0859604258@yahoo.co.th )
ไม่มีเจตนาจดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย, ของหมั้นและสินสอดตามกฎหมาย ขณะหมั้นหญิงคู่หมั้นอายุยังไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ หลังแต่งงานและอยู่กินด้วยกันนานประมาณ 1 เดือน ชายได้หนีออกจากบ้านหญิง ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏจากว่า ทั้งก่อนและในวันแต่งานฝ่ายชายได้เคยพูดกับทางฝ่ายหญิงถึงเรื่องการจดทะเบียนสมรสให้เป็นกิจจะลักษณะ ตลอดเวลาที่อยู่กินด้วยกัน ชายมุ่งประสงค์จะแต่งงานอยู่กินกับตามประเพณีเป็นสำคัญ หาได้นำพาต่อการจดทะเบียนสมรสไม่ เงินทั้งหลายที่ชายมอบให้แก่หญิงจึงไม่ใช่ของหมั้นและสินสอดตามกฎหมายแม้จะมีการหมั้นกันตามประเพณีและมอบทรัพย์สินให้แก่กัน ชายก็หามีสิทธิเรียกคืนไม่
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นบิดาโจทก์ที่ 2 จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นบิดามารดาจำเลยที่ 3 โจทก์ที่ 1 ได้สู่ขอและหมั้นจำเลยที่ 3 ให้โจทก์ที่ 2 ด้วยเงินสด 4,000 บาท วันทำพิธีสมรสโจทก์ทั้งสองได้มอบเงินค่าสินสอดให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 อีก 11,000 บาทและต้องเสียค่าอาหารและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการทำพิธีสมรสเป็นเงิน10,150 บาท แต่เมื่อทำพิธีสมรสแล้วจำเลยที่ 3 ไม่ยอมไปจดทะเบียนสมรสและไม่ยอมอยู่กินเป็นสามีภริยากับโจทก์ที่ 2 ต่อมาโจทก์ทั้งสองทราบความจริงว่าขณะหมั้นจำเลยที่ 3 อายุไม่ครบ 17 ปีการหมั้นจึงตกเป็นโมฆะจำเลยทั้งสามต้องคืนเงินของหมั้นและสินสอดกับชดใช้ค่าอาหารและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แก่โจทก์ แต่จำเลยทั้งสามไม่คืนและไม่ชดใช้ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 25,150 บาทกับดอกเบี้ย จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้แต่เรียกสินสอดจากโจทก์อย่างเดียวเป็นเงิน 15,000 บาท หลังทำพิธีสมรสโจทก์ที่ 2 อยู่กินกับจำเลยที่ 3 เป็นเวลา 2 เดือนเศษ แล้วออกจากบ้านจำเลยไปเอง โจทก์ที่ 2 ไม่เคยเรียกร้องให้มีการจดทะเบียนสมรส จำเลยที่ 3 ยังพร้อมที่จะจดทะเบียนสมรสและอยู่กินกับโจทก์ที่ 2 จำเลยทั้งสามไม่ผิดสัญญา ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 15,000บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยทั้งสามไม่ต้องคืนเงินของหมั้นและเงินสินสอดแก่โจทก์ทั้งสอง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ทั้งสองฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีคงมีปัญหาขึ้นมาสู่ศาลฎีกาตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองว่า จำเลยทั้งสามจะต้องคืนเงินของหมั้นและเงินสินสอดแก่โจทก์ทั้งสองหรือไม่ ...พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงตามที่ทั้งสองฝ่ายนำสืบไม่โต้เถียงกันรับฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์ที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ได้หมั้นกันเมื่อวันที่ 22 พฤาภาคม 2529 และแต่งงานกันเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2530 โดยโจทก์ที่ 2 มอบเงินจำนวน 4,000 บาทให้จำเลยที่ 3 เป็นของหมั้น และโจทก์ที่ 1 มอบเงินจำนวน 11,000บาท ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นสินสอด ขณะหมั้นจำเลยที่ 3 อายุยังไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ หลังแต่งงานและอยู่กินด้วยกันนานประมาณ 1 เดือน โจทก์ที่ 2 ได้หนีออกจากบ้านจำเลยทั้งสามไป แต่ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 3 เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ยอมไปจดทะเบียนสมรสนั้นศาลฎีกาเห็นว่า ทางพิจารณาข้อเท็จจริงไม่ปรากฏจากการนำสืบของโจทก์เลยว่า ทั้งก่อนและในวันแต่งานฝ่ายโจทก์ได้เคยพูดกับทางฝ่ายจำเลยถึงเรื่องการจดทะเบียนสมรสให้เป็นกิจจะลักษณะ ตลอดเวลาที่อยู่กินด้วยกันประมาณ 1 เดือน โจทก์ที่ 2 ก็ไม่เคยขอให้จำเลยที่ 3 ไปจดทะเบียนสมรส กลับได้ความจากโจทก์ที่ 2 เองว่า โจทก์ที่ 2 ไม่เคยมีความคิดที่จะจดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 3 มาก่อนโจทก์ที่ 2 ไปขอให้จำเลยที่ 3 ไปจดทะเบียนสมรสตามคำแนะนำของทนายความ นอกจากนั้น โจทก์ที่ 2 ยังเบิกความว่า แม้จำเลยที่ 3 อายุไม่ครบ 17 ปี โจทก์ที่ 2 ก็จะแต่งงานด้วย ซึ่งแสดงว่าโจทก์ที่ 2 มุ่งประสงค์จะแต่งงานอยู่กินกับจำเลยที่ 3 ตามประเพณีเป็นสำคัญ หาได้นำพาต่อการจดทะเบียนสมรสไม่ เมื่อโจทก์ที่ 2 กับจำเลยที่ 3 เพียงแต่ประกอบพิธีแต่งงานเพื่ออยู่กินกันตามประเพณีไม่มีเจตนาจะจดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมายเงินทั้งหลายที่ฝ่ายโจทก์มอบให้แก่ฝ่ายจำเลยจึงไม่ใช่ของหมั้นและสินสอดตามกฎหมายแม้จะมีการหมั้นกันตามประเพณีและมอบทรัพย์สินให้แก่กัน ในขณะจำเลยที่ 3 อายุยังไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ โจทก์ก็หามีสิทธิเรียกคืนไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น" พิพากษายืน.
การที่ชายและหญิงซึ่งมีอายุยังไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ ทั้งสองคนทำการหมั้นกัน สัญญาหมั้นนั้นเป็นโมฆะตามมาตรา 1435 โดยถือว่าเสียเปล่าเสมือนไม่มีสัญญาหมั้นเกิดขึ้นเลย คู่สัญญาแต่ละฝ่ายคงอยู่ในฐานะเดิมเหมือนอย่างเช่นมิได้เข้าทำสัญญาหมั้นและเป็นผู้มีส่วนได้เสียในอันที่จะกล่าวอ้างความเสียเปล่าแห่งโมฆะกรรมได้ตามมาตรา 172 เมื่อถือว่าไม่มีสัญญาหมั้นเกิดขึ้นจึงไม่มีการที่คู่สัญญาแต่ละฝ่ายกลับคืนสู่ฐานะเดิมเหมือนโมฆียะกรรมที่ถูกบอกล้างการที่ฝ่ายชายให้ของหมั้นและสินสอดแก่ฝ่ายหญิงก็ถือว่าเป็นการกระทำอันปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ ฝ่ายชายจึงมีสิทธิเรียกร้องเอาของหมั้นและสินสอดคืนได้ตามหลักกฎหมายว่าด้วยลาภมิควรได้ มาตรา 412 หรือมาตรา 413 แต่ทั้งนี้ฝ่ายชายจะต้องฟ้องหรือฟ้องแย้งเรียกของหมั้นและสินสอดคืน ศาลจะสั่งให้คืนเองไม่ได้แม้สัญญาหมั้นจะเป็นโมฆะก็ตาม นอกจากนี้แม้ชายไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับหญิง หรือหญิงไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับชาย ฝ่ายชายและฝ่ายหญิงก็จะเรียกค่าทดแทนอย่างใด ๆ จากกันมิได้ ตามคำพิพากษาศาลฎีกาเรื่องนี้ โจทก์ทั้งสองฟ้องเรียกของหมั้นและสินสอดคืนจากจำเลยทั้งสามโดยอ้างว่าหญิงคู่หมั้นซึ่งเป็นจำเลยที่ 3 อายุไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์การหมั้นจึงตกเป็นโมฆะ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 15,000 บาท แก่โจทก์ซึ่งก็คือของหมั้นเป็นเงิน 4,000 บาท และสินสอดอีก 11,000 บาทศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามไม่ต้องคืนเงินของหมั้นและเงินสินสอดแก่โจทก์ทั้งสอง ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ภาค 3 โดยวินิจฉัยว่าเงินที่อ้างว่าให้เป็นของหมั้นและสินสอดนั้นมิใช่ของหมั้นและสินสอดตามกฎหมาย เพราะชายและหญิงเพียงแต่ประกอบพิธีแต่งงานเพื่ออยู่กินกันตามประเพณีไม่มีเจตนาจะจดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกคืนศาลสูงมิได้วินิจฉัยในประเด็นที่ว่าสัญญาหมั้นเป็นโมฆะหรือไม่ แต่กลับไปเน้นในจุดที่ว่า "ชายและหญิงไม่มีเจตนาสมรสกันตามกฎหมาย" เงินหรือทรัพย์สินที่ฝ่ายชายให้แก่ฝ่ายหญิง จึงมิได้ให้ในฐานะเป็นของหมั้นหรือสินสอด แต่เป็นการให้โดยเสน่หา จึงเรียกคืนจากฝ่ายหญิงไม่ได้แม้หญิงไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับชายก็ตาม ซึ่งศาลฎีกาได้เคยวินิจฉัยในทำนองนี้มาแล้ว แต่ไม่มีประเด็นว่าชายหรือหญิงคู่หมั้นอายุยังไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ อันจะเป็นเหตุทำให้สัญญาหมั้นเป็นโมฆะตามมาตรา 1435 คือ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 125/2518 เงินที่ชายให้แก่มารดาหญิงเพื่อขอขมาในการที่หญิงตามไปอยู่กินกับชาย โดยชายหญิงไม่มีเจตนาจะสมรสกันตามกฎหมายไม่ใช่สินสอดหรือของหมั้น เมื่อต่อมาหญิงไม่ยอมอยู่กินกับชาย ชายเรียกคืนไม่ได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3557/2524 ชายหญิงประกอบพิธีสมรสกันตามประเพณีและอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยา โดยมิได้มีเจตนาที่จะไปจดทะเบียนสมรสถือไม่ได้ว่าเป็นการสมรสโดยชอบด้วยกฎหมาย เงินและทรัพย์ที่ฝ่ายชายได้มอบให้แก่ฝ่ายหญิงไว้จึงหาได้ให้ในฐานะเป็นสินสอดและของหมั้นตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1437 ไม่ เมื่อชายและหญิงแยกกันอยู่ชายไม่มีสิทธิเรียกคืน คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1507/2531 เมื่อโจทก์กับจำเลยที่ 1 เพียงแต่ประกอบพิธีสมรสโดยมิได้มีเจตนาจะสมรสกันตามกฎหมาย เงินที่โจทก์อ้างว่าได้มอบให้แก่ฝ่ายหญิงจึงหาได้ให้ในฐานะเป็นของหมั้นและสินสอดตามกฎหมายไม่ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกคืน อย่างไรก็ดี ได้มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3133/2530 วินิจฉัยประเด็นที่หญิงอายุยังไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ ทำการแต่งงานตามประเพณีกับชาย และมีการให้สินสอดแก่บิดามารดาหญิง ต่อมาหญิงไม่ยอมอยู่กินกับชาย ฝ่ายชายจึงมาฟ้องเรียกสินสอดคืน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "การที่โจทก์ให้เงินสดและสร้อยคอทองคำแก่ฝ่ายจำเลย โดยฝ่ายโจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 3 มีอายุยังไม่ครบกำหนดที่จะจดทะเบียนสมรสกันได้แต่ก็ยอมให้โจทก์ที่ 3 และจำเลยที่ 3 ทำการสมรสกันตามประเพณีและอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยาโดยไม่ต้องจดทะเบียนสมรสนั้นเงินสดและสร้อยคอทองคำดังกล่าวจึงไม่ใช่สินสอดตามความหมายในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1437 โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกคืน" คดีเรื่องนี้ไม่มีประเด็นในเรื่องการหมั้นมาเกี่ยวข้องโดยฝ่ายชายทราบอยู่แล้วว่าหญิงอายุยังไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ ไม่อาจจดทะเบียนสมรสกันได้ แต่ก็ได้ทำพิธีแต่งงานมาอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยากับชายโดยชายและหญิงไม่มีเจตนาที่จะจดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย ศาลฎีกาจึงได้วินิจฉัยว่าเงินสดและสร้อยคอทองคำที่ให้แก่บิดามารดาหญิงไม่ใช่สินสอดตามกฎหมาย ฝ่ายชายเรียกคืนไม่ได้ สำหรับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1117/2535 เรื่องใหม่นี้ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3133/2530 เพราะคดีเรื่องใหม่นี้ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ได้มีการหมั้นกันก่อนเมื่อเดือนพฤษภาคม 2529 และมาแต่งงานกันในเดือนมกราคม 2530 ได้มีการให้ของหมั้นและสินสอดแก่กันด้วย ในขณะที่ทำสัญญาหมั้นหญิงอายุยังไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ โดยฝ่ายชายไม่ทราบ เพิ่งมาทราบในภายหลัง โจทก์จึงกล่าวอ้างว่าสัญญาหมั้นเป็นโมฆะและเรียกของหมั้นและสินสอดคืนถ้าพิเคราะห์ในประเด็นเรื่องสัญญาหมั้นเป็นโมฆะหรือไม่ น่าจะเห็นได้ชัดเจนว่าสัญญาหมั้นเป็นโมฆะ โจทก์น่าจะมีสิทธิเรียกร้องเอาของหมั้นและสินสอดคืนได้ตามหลักกฎหมายว่าด้วยลาภมิควรได้มาตรา 412 ส่วนจะคืนเงินจำนวนเท่าใด หรือใช้จ่ายไปหมดแล้วไม่มีเงินที่จะต้องคืนแก่กันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง. ประสพสุขบุญเดช. ข้อสังเกต มีข้อสังเกตเกี่ยวกับการหมั้นต่อไปว่า การหมั้นจะสมบูรณ์ต่อเมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิง ดังนั้น ทรัพย์สินที่จะถือว่าเป็นของหมั้นได้นั้นจึงต้องมีการส่งมอบให้แก่ฝ่ายหญิงอย่างแท้จริงด้วย การสัญญาว่าจะให้ทรัพย์สินหรือเพียงแต่ทำสัญญากู้ยืมเงินกันไว้ จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการให้ของหมั้นแก่กันแล้ว
เงื่อนไขของการหมั้น ชายและหญิงคู่หมั้นคู่หมั้นต้องมีอายุอย่างต่ำ 17 ปีบริบูรณ์ มาตรา 1435 การหมั้นจะทำได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว ชายและหญิงที่มีอายุต่ากว่า 17 ปี บริบูรณ์จะขออนุญาติศาลทำการหมั้นไม่ได้เพราะไม่มีกฎหมายให้อำนาจไว้ ผิดกับการสมรสซึ่งหากมี่เหตุอันสมควร มาตรา 1448 ให้อำนาจศาลที่จะอนุญาตให้ชายหรือหญิงที่อายุต่ำกว่า 17 ปีบริบูรณ์ทำการสมรสได้ในกรณีที่ชายหรือหญิงซึ่งอายุต่ากว่า 17 ปีบริบูรณ์ทำการสมรสโดยได้รับอนุญาตจากศาล หากต่อมาขาดจากการสมรสเดิมและประสงค์จะทำการหมั้นใหม่ในขณะที่ตนอายุยังไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ก็ไม่อาจจะกระทำได้ เพราะขัดต่อ มาตรา 1435 ที่บัญญัติไว้โดยเด็ดขาดว่า ชายและหญิงต้องอายุครบ 17 ปี บริบูรณ์แล้วทั้งสองคนจึงจะทำการหมั้นได้ หากฝ่าฝืนทำการหมั้นกันการหมั้นนี้เป็นโมฆะ _______________________________________________________
|