สมัคใจวิวาทกันสมัครใจเข้าเสี่ยงภัย ทำร้ายร่างกายสมัคใจวิวาทกันสมัครใจเข้าเสี่ยงภัย โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำร้ายร่างกายโจทก์ ๆ เสียค่าใช้จ่ายในการรักษาบาดแผลเป็นเงิน 30,000 บาท โจทก์ต้องทุพพลภาพไปตลอดชีวิต ขอคิดค่าเสียหายในส่วนนี้เป็นเงิน250,000 บาท แพทย์ให้ความเห็นว่าไม่สามารถรักษาปากโจทก์ให้หายเบี้ยวได้ โจทก์ขอคิดค่าเสียหายในส่วนนี้ 250,000บาท โจทก์ปากเบี้ยวทำให้หน้าเสียโฉมอย่างติดตัว โจทก์ขอคิดค่าเสียหายในส่วนนี้เป็นเงิน 100,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 630,000 บาท คดีส่วนอาญาฟังว่าโจทก์และจำเลย สมัครใจทะเลาะวิวาทและทำร้ายร่างกายกัน เป็นกรณีที่ต่างฝ่ายต่างสมัครใจเข้าเสี่ยงภัยยอมรับอันตรายหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่ตนจากการทะเลาะวิวาทนั้น แม้โจทก์ได้รับบาดเจ็บก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10294/2546 คดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 เมื่อศาลฎีกาพิพากษาคดีส่วนอาญาว่าข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ก่อนเกิดเหตุโจทก์คดีนี้กับจำเลยที่ 1 และพวกต่างมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน และได้มีการด่าว่าโต้เถียงกัน จนในที่สุดได้มีการทำร้ายร่างกายกันจึงเป็นเรื่องสมัครใจวิวาทกัน ศาลจึงต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าว เมื่อฟังว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 สมัครใจทะเลาะวิวาทและทำร้ายร่างกายกัน เป็นกรณีที่ต่างฝ่ายต่างสมัครใจเข้าเสี่ยงภัยยอมรับอันตรายหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่ตนจากการทะเลาะวิวาทนั้น แม้โจทก์ได้รับบาดเจ็บก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1กระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2538 จำเลยทั้งสี่ร่วมกันทำร้ายร่างกายโจทก์โดยมีเจตนาฆ่า โดยจำเลยที่ 2 จับและกอดรัดตัวโจทก์ให้จำเลยที่ 1 ใช้มีดโต้เป็นอาวุธฟันโจทก์ถูกที่บริเวณศีรษะ ลำคอด้านหลังบริเวณใบหู ลำตัวด้านหลัง แขนซ้ายและแขนขวา แล้วจำเลยที่ 2 และที่ 3 ใช้ไม้ตีโจทก์ถูกบริเวณศีรษะและลำตัว ส่วนจำเลยที่ 4ชกใบหน้าโจทก์และผลักโจทก์ล้มลงจนศีรษะกระแทกพื้น ทำให้โจทก์หมดสติ โจทก์ไม่ถึงแก่ความตายเพราะแพทย์สามารถช่วยชีวิตได้ทัน แต่เป็นเหตุให้ใบหูด้านขวาขาดมีบาดแผลจากคมมีดบริเวณศีรษะด้านหลังถึงลำคอด้านหลังยาว 7 นิ้ว ลึก 2 นิ้ว ลึกถึงกล้ามเนื้อคอ กระดูกคอ และกะโหลกศีรษะ กับบาดแผลที่ลำตัวด้านหลัง ที่แขนซ้ายและแขนขวา เป็นเหตุให้เส้นประสาทที่มีหน้าที่บังคับปากและแขนขวาใช้การไม่ได้ ทำให้ปากเบี้ยวและแขนขวาใช้การไม่ได้ตามปกติตลอดชีวิต โจทก์เสียค่าใช้จ่ายในการรักษาบาดแผลเป็นเงิน 30,000 บาท แต่ปัจจุบันโจทก์ยังมีอาการเจ็บปวดต้องไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาอยู่ตลอดแพทย์ให้ความเห็นว่าไม่สามารถรักษาแขนขวาให้ทำงานได้ตามปกติทำให้โจทก์ต้องทุพพลภาพไปตลอดชีวิต โจทก์ขอคิดค่าเสียหายในส่วนนี้เป็นเงิน250,000 บาท แพทย์ให้ความเห็นว่าไม่สามารถรักษาปากโจทก์ให้หายเบี้ยวได้ ทำให้โจทก์เจ็บปวดและทุพพลภาพไปตลอดชีวิต โจทก์ขอคิดค่าเสียหายในส่วนนี้ 250,000บาท โจทก์ปากเบี้ยวทำให้หน้าเสียโฉมอย่างติดตัว โจทก์ขอคิดค่าเสียหายในส่วนนี้เป็นเงิน 100,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 630,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งสี่ให้การว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นบิดามารดาของจำเลยที่ 2 และที่ 4โจทก์เป็นพี่น้องร่วมมารดาเดียวกันกับจำเลยที่ 3 นายเลื่อน เป็นพี่โจทก์ วันเกิดเหตุ โจทก์และนายเลื่อนใช้ไม้ขาเก้าอี้และไม้ไผ่ตีทำร้ายจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 จะเข้าไปห้ามและป้องกันไม่ให้โจทก์ทำร้ายจำเลยที่ 2 แต่โจทก์และนายเลื่อนกลับเข้ามาทำร้ายจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงป้องกันตัวเองโดยใช้มีดที่ถือมายกขึ้นรับไว้ ทำให้มีดถูกโจทก์และเกิดการชุลมุลกันจำเลยที่ 3 เข้าไปอุ้มบุตรจำเลยที่ 2 ซึ่งอยู่ในที่ชุลมุนดังกล่าวเพราะเกรงว่าจะได้รับอันตราย โดยจำเลยที่ 3 ไม่ได้ทำร้ายร่างกายโจทก์ จำเลยที่ 4 เพียงแต่เข้าไปพาจำเลยที่ 3 และโจทก์ออกจากที่ชุลมุนกันเพื่อนำไปรับการรักษา โดยจำเลยที่ 4 ไม่ได้ทำร้ายร่างกายโจทก์ มูลเหตุที่โจทก์ทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 1 และที่ 2 เพราะโจทก์เข้าใจว่าจำเลยทั้งสี่ยุยงให้นางเฟื่องซึ่งเป็นมารดาโจทก์ฟ้องเพิกถอนการให้ที่ดินเพราะเหตุที่นายเลื่อนประพฤติเนรคุณทั้งโจทก์เป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสี่ ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับโจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 25มีนาคม 2539) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยที่ 1 ใช้แทนเพียงเท่าที่โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ โดยกำหนดค่าทนายความทั้งสองศาลรวมเป็นเงิน 10,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3 ให้เป็นพับ จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นบิดามารดาของจำเลยที่ 2 และที่ 4 โจทก์ นายเลื่อน ธรรมรัตน์ และจำเลยที่ 3 เป็นพี่น้องกันวันเกิดเหตุโจทก์และนายเลื่อนทะเลาะวิวาทกับจำเลยทั้งสี่ เจ้าพนักงานตำรวจจึงจับกุมจำเลยทั้งสี่ไปดำเนินคดี ต่อมาพนักงานอัยการจังหวัดหนองคายได้ฟ้องคดีอาญาต่อศาลชั้นต้น 2 คดี คดีแรก พนักงานอัยการจังหวัดหนองคายฟ้องนายเลื่อน โจทก์คดีนี้และนายบัวหลั่น คุธินาคุณ เป็นจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ตามลำดับ ข้อหาความผิดต่อร่างกายโดยมีจำเลยที่ 1 คดีนี้เป็นโจทก์ร่วม ตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1001/2538 หมายเลขแดงที่ 3356/2539 ของศาลชั้นต้น ซึ่งต่อมาเป็นคดีตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1181/2542คดีที่สอง พนักงานอัยการจังหวัดหนองคายฟ้องจำเลยทั้งสี่คดีนี้เป็นจำเลย ข้อหาความผิดต่อชีวิต พยายาม ความผิดต่อร่างกาย โดยมีโจทก์คดีนี้และนายเลื่อนเป็นโจทก์ร่วม ตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1377/2538 หมายเลขแดงที่ 3423/2539 ของศาลชั้นต้น ซึ่งต่อมาเป็นคดีตามคำพิพากษาฎีกาที่ 6828/2542 คดีนี้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ 2 ข้อ คือ 1. จำเลยทั้งสี่ร่วมกันจงใจทำร้ายโจทก์ตามฟ้องหรือไม่และ 2. โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสี่ได้หรือไม่ เพียงใด ในวันนัดสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นสอบคู่ความเกี่ยวกับประเด็นข้อแรกคู่ความแถลงร่วมกันว่า ให้ถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1377/2538 ของศาลชั้นต้นเมื่อมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ศาลชั้นต้นจึงให้คู่ความนำสืบเฉพาะประเด็นเรื่องค่าเสียหาย จำเลยที่ 1 ฎีกาข้อแรกว่า คดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา คือคดีอาญาหมายเลขแดงที่3423/2539 ของศาลชั้นต้น โดยรับฟังว่าโจทก์เป็นผู้เริ่มต้นก่อเหตุทะเลาะวิวาทโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 คดีส่วนอาญาคือคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1377/2538 หมายเลขแดงที่ 3423/2539ของศาลชั้นต้น ซึ่งต่อมาคือคดีตามคำพิพากษาฎีกาที่ 6828/2542 อีกทั้งคู่ความแถลงร่วมกันว่าให้ถือข้อเท็จจริงในคดีนี้ตามที่ปรากฏในคดีอาญาดังกล่าวเมื่อคดีถึงที่สุดแล้วดังนี้เมื่อศาลฎีกาพิพากษาคดีส่วนอาญาในคำพิพากษาฎีกาที่ 6828/2542 ว่าข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่พนักงานอัยการจังหวัดหนองคายและโจทก์คดีนี้นำสืบว่า ก่อนเกิดเหตุโจทก์คดีนี้กับจำเลยที่ 1 และพวกต่างมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน และได้มีการด่าว่าโต้เถียงกัน จนในที่สุดได้มีการใช้กำลังเข้าทำร้ายร่างกายกันจึงเป็นเรื่องสมัครใจเข้าวิวาทกัน คดีนี้ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าว เมื่อฟังว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 สมัครใจทะเลาะวิวาทและทำร้ายร่างกายกัน เป็นกรณีที่ต่างฝ่ายต่างสมัครใจเข้าเสี่ยงภัยยอมรับอันตรายหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่ตนจากการทะเลาะวิวาทนั้น แม้โจทก์ได้รับบาดเจ็บก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังขึ้นและคดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลยที่ 1 อีกต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนไป
|