

สิทธิเรียกดอกเบี้ยผิดนัด สิทธิเรียกดอกเบี้ยผิดนัด เมื่อผู้ให้เช่าซื้อรับรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนจากจำเลยแล้วจึงถือว่าจำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาในส่วนที่ให้คืนรถยนต์ที่เช่าซื้อแล้ว ผู้ให้เช่าซื้อจะบังคับคดีให้จำเลยชำระราคารถยนต์แทนอีกไม่ได้ และย่อมไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยที่คิดจากราคารถยนต์ ส่วนความเสียหายที่เกิดขึ้นในระหว่างที่จำเลยยังครอบครองใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินอยู่ ศาลก็ได้กำหนดค่าเสียหายเป็นค่าใช้ทรัพย์หรือค่าขาดประโยชน์ไว้อีกส่วนหนึ่งด้วยแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะอ้างได้ว่าผู้ให้เช่าซื้อชอบที่จะคิดดอกเบี้ยจากราคารถยนต์ในช่วงระยะเวลาที่จำเลยยังไม่ส่งมอบรถยนต์คืนและถือว่าดอกเบี้ยนั้นเป็นค่าเสียหายส่วนหนึ่งของหนี้ตามคำพิพากษา จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยในส่วนนี้ ในคดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันซึ่งศาลพิพากษาให้ร่วมรับผิดกับจำเลยแม้จะได้ชำระดอกเบี้ยเป็นเงินจำนวน 80,185 บาท ไปก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการที่ต้องสูญหายหรือเสียหายไปอย่างใดๆ เพราะการค้ำประกัน เป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องไปว่ากล่าวเอาแก่ผู้ให้เช่าซื้อ โจทก์ไม่อาจรับช่วงสิทธิมาฟ้องไล่เบี้ยเอาเงินจำนวนดังกล่าวคืนจากจำเลยได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3554/2554 คำพิพากษาของศาลได้กำหนดขั้นตอนการบังคับคดีเกี่ยวกับการส่งคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อหรือใช้ราคาแทนไว้แล้ว จึงต้องดำเนินการบังคับคดีก่อนหลังกันไปตามลำดับดังที่ระบุไว้ในคำพิพากษา กล่าวคือ หากการบังคับให้คืนรถยนต์ไม่อาจกระทำได้ จึงให้บังคับเอาจากราคารถยนต์แทน เมื่อบริษัท ธ. ผู้ให้เช่าซื้อรับรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนจากจำเลยแล้วโดยไม่ปรากฏว่ารถยนต์ดังกล่าวมีสภาพไม่เรียบร้อยใช้การไม่ได้ จึงเป็นกรณีที่จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาในส่วนที่ให้คืนรถยนต์ที่เช่าซื้อแก่บริษัท ธ. แล้ว บริษัท ธ. จะบังคับคดีให้จำเลยชำระราคารถยนต์แทนอีกไม่ได้ และย่อมไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยที่คิดจากราคารถยนต์ ส่วนความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่บริษัท ธ. ในระหว่างที่จำเลยยังครอบครองใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินอยู่ คำพิพากษาของศาลก็ได้กำหนดค่าเสียหายเป็นค่าใช้ทรัพย์หรือค่าขาดประโยชน์แก่บริษัท ธ. ไว้อีกส่วนหนึ่งด้วยแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะอ้างได้ว่าบริษัท ธ. ชอบที่จะคิดดอกเบี้ยจากราคารถยนต์ในช่วงระยะเวลาที่จำเลยยังไม่ส่งมอบรถยนต์คืนและถือว่าดอกเบี้ยนั้นเป็นค่าเสียหายส่วนหนึ่งของหนี้ตามคำพิพากษา จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยในส่วนนี้ ดังนั้น แม้โจทก์ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันซึ่งศาลพิพากษาให้ร่วมรับผิดกับจำเลยจะได้ชำระดอกเบี้ยเป็นเงินจำนวน 80,185 บาท ไปก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการที่ต้องสูญหายหรือเสียหายไปอย่างใดๆ เพราะการค้ำประกันตาม ป.พ.พ. มาตรา 693 วรรคหนึ่ง กรณีเป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องไปว่ากล่าวเอาแก่บริษัท ธ. เอง โจทก์ไม่อาจได้รับช่วงสิทธิมาฟ้องไล่เบี้ยเอาเงินจำนวนดังกล่าวคืนจากจำเลยได้ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 166,250 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 140,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 166,250 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 140,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำ จำเลยอุทธรณ์ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 59,815 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2544 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
มาตรา 693 ผู้ค้ำประกันซึ่งได้ชำระหนี้แล้วย่อมมีสิทธิที่จะไล่เบี้ยเอาจากลูกหนี้เพื่อต้นเงินกับดอกเบี้ยและเพื่อการที่ต้องสูญหายหรือเสียหายไปอย่างใด ๆ เพราะการค้ำประกันนั้น หมายเหตุ การคิดดอกเบี้ยในการผิดนัด ในพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ.2564 สิ่งที่แก้ไขในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เดิมมีดังนี้ มาตรา 224 หนี้เงินนั้น ให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดในอัตราที่กำหนดตามมาตรา 7 บวกด้วย อัตราเพิ่มร้อยละสอง ต่อปี ถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้นโดยอาศัยเหตุอย่างอื่น อันชอบด้วยกฎหมาย ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น ห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดการพิสูจน์ค่าเสียหายอย่างอื่นนอกจากนั้น ให้พิสูจน์ได้ การคิดดอกเบี้ยในการผิดนัด ซึ่งจากเดิมจะอยู่ในอัตราที่เท่ากับอัตราเดิมในมาตรา 7 (เดิม) คือ ร้อยละ 7.5 ต่อปี แต่พระราชกำหนดได้กำหนดให้แก้ไขเป็นร้อยละตามมาตรา 7 (ใหม่) บวกด้วยร้อยละ 2 ซึ่งในตอนนี้ก็คือร้อยละ 5 ต่อปี (มาจากร้อยละ 3+2) ซึ่งประเด็นสำคัญที่น่าพิจารณาก็คือการปรับเปลี่ยนแบบนี้อาจจะเป็นผลดีกับลูกหนี้กรณีที่มีการเรียกดอกเบี้ยจากค่าเสียหายกรณีละเมิด (ดอกเบี้ยผิดนัด) เพราะก่อนหน้านี้อาจจะมีหลายคดีใช้วิธียืดเวลาคดีออกไปเพื่อให้ได้รับดอกเบี้ยมากขึ้นและจากการระบุว่าไม่ให้คิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยกับการพิสูจน์ค่าเสียหายอย่างอื่น ยังเป็นแนวทางตามกฎหมายเดิมที่เคยมี ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องของการพิสูจน์ค่าเสียหายยังถือเป็นประเด็นที่น่าสนใจว่า เจ้าหนี้เองจะพิสูจน์อย่างไรที่ไม่เกินกว่าเหตุและแค่การเรียกเก็บดอกเบี้ยผิดนัดก็น่าจะเพียงพอแล้วหรือไม่ มาตรา 224/1 ถ้าลูกหนี้มีหน้าที่ผ่อนชำระหนี้เงินเป็นงวด และลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ในงวดใด เจ้าหนี้อาจเรียกดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดได้เฉพาะจากต้นเงินของงวดที่ลูกหนี้ผิดนัดนั้นข้อตกลงใดขัดกับความในวรรคหนึ่ง ข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะ
สำหรับมาตรานี้เป็นตัวเพิ่มเข้ามาจากเดิมที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งจะเห็นได้ว่าต้องการจะช่วยเหลือลูกหนี้ ในกรณีที่ผิดนัดกรณีชำระเป็นงวดไม่ให้เจอภาระหนักเกินไป ถ้าผิดงวดไหนก็ให้เรียกแค่ส่วนของเงินต้นก้อนนั้น ซึ่งค่อนข้างยุติธรรมกับลูกหนี้มากขึ้นเช่นกัน
|