

คำสั่งระหว่างพิจารณาจำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์ คำสั่งระหว่างพิจารณาจำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์ เดิมศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยโดยไม่ชอบเนื่องจากจำเลยมิได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ ต่อมาศาลชั้นต้นจึงเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว ต่อมามีคำสั่งให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลภายใน 15 วัน คำสั่งของศาลชั้นต้นทั้งสองครั้งไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากในการสั่งรับอุทธรณ์ครั้งแรกไม่ชอบเพราะว่าจำเลยมิได้นำค่าธรรมเนียมมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งศาลเอง ควรจะสั่งใหม่เป็นไม่รับอุทธรณ์ แต่ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมมาวางไว้ใน 15 วัน เป็นการไม่ชอบเช่นกันเมื่อพิจารณาต่อไปจะเห็นได้ว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นในครั้งหลังเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์ ค่าธรรมเนียมใช้แทนนอกจากค่าทนายความแล้วยังรวมถึงค่าฤชาธรรมเนียมที่คู่ความอีกฝ่ายต้องเสียไปจากการดำเนินคดีในศาลด้วย การที่จำเลยยื่นอุทธรณ์โดยนำเพียงค่าทนายความใช้แทนมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลชั้นต้นชอบที่จะสั่งไม่รับอุทธรณ์ได้ทันที คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 208/2550 การที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยที่ 1 โดยขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาตให้พิจารณาใหม่นั้น หากอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น ศาลอุทธรณ์ก็ย่อมพิพากษาให้พิจารณาใหม่ซึ่งจะทำให้คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่บังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้แก่โจทก์ต้องถูกเพิกถอนไปตาม ป.วิ.พ. มาตรา 199 เบญจ วรรคสาม อุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวมีผลเท่ากับเป็นการอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นอยู่ในตัว จำเลยที่ 1 จึงมีหน้าที่ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งในชั้นตรวจคำฟ้องอุทธรณ์ศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ได้ทันที การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ถือได้ว่าศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาโดยผิดหลง และเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. ในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมตามมาตรา 27 วรรคหนึ่ง เมื่อศาลชั้นต้นยังมิได้ส่งอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณา ศาลชั้นต้นก็ย่อมมีอำนาจเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบดังกล่าวโดยมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ได้ทันที การที่ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 หลังจากที่มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 แต่มีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษามาวางศาลภายใน 15 วัน นับแต่วันทราบคำสั่งนั้นเท่ากับศาลชั้นต้นเปิดโอกาสให้แก่จำเลยที่ 1 ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายก่อนที่จะพิจารณาสั่งอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ว่าจะให้ส่งหรือปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ไปยังศาลอุทธรณ์อันเป็นกระบวนพิจารณาในชั้นตรวจคำฟ้องอุทธรณ์ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 232 คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินพร้อมดอกเบี้ย หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดชำระหนี้ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้จนครบ กับให้จำเลยทั้งสอร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 8,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยทั้งสองยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งรับอุทธรณ์และมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษามาวางศาลภายใน 15 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 1 ฎีกา เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้ว การดำเนินกระบวนพิจารณาขั้นต่อไปย่อมอยู่ในอำนาจของศาลอุทธรณ์ เพียงแต่กฎหมายให้อำนาจศาลชั้นต้นในการตรวจรับอุทธรณ์ว่า เป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เสียค่าขึ้นศาล ค่าฤชาธรรมเนียม ครบถ้วนหรือไม่ คงมีข้อพิจารณาว่า เมื่อศาลชั้นต้นได้ใช้ดุลยพินิจในการรับอุทธรณ์แล้ว จะใช้ดุลยพินิจเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้อีกหรือไม่ เช่น เพิกถอนคำสั่งเป็นไม่รับอุทธรณ์ กรณีนี้ศาลฎีกาเคยวินิจฉัยไว้ว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งรับอุทธรณ์ได้ เช่น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 347/2540 คำพิพากษาที่หมายเหตุนี้วินิจฉัยเดินตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าว ในทางตรงกันข้ามหากศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ ภายหลังจะมีคำสั่งแก้ไขเป็นรับอุทธรณ์ได้หรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นมีอำนาจที่จะแก้ไขได้ เช่น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3589/2525 ทั้งสองประการนี้ศาลฎีกาให้ความเห็นว่า ศาลชั้นต้นมีอำนาจที่จะแก้ไขคำสั่งที่ผิดหลงได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 แต่ด้วยความเคารพผู้หมายเหตุเห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์หรือไม่รับอุทธรณ์ไปแล้ว ถือว่าสิ้นสุดอำนาจของศาลชั้นต้นแล้ว หากกรณีรับอุทธรณ์ หากศาลชั้นต้นเห็นว่าคำสั่งเดิมไม่ชอบ ก็ควรเป็นหน้าที่ของศาลอุทธรณ์ที่จะมีคำสั่งแก้ไข หากศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ ผู้อุทธรณ์ก็มีสิทธิที่จะอุทธรณ์คำสั่งได้ ศาลอุทธรณ์อาจเห็นด้วยกับคำสั่งของศาลชั้นต้นก็ได้ การที่ศาลชั้นต้นไปสั่งแก้ไขอาจกลับกลายเป็นว่าสั่งเกินความประสงค์ของศาลอุทธรณ์ สำหรับคดีที่หมายเหตุนี้เดิมศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 โดยไม่ชอบเนื่องจากจำเลยที่ 1 มิได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ ต่อมาศาลชั้นต้นจึงเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว และมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษามาวางศาลภายใน 15 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง จะเห็นได้ว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นทั้งสองครั้งไม่ชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือ ในการสั่งรับอุทธรณ์ครั้งแรกไม่ชอบเพราะว่าจำเลยที่ 1 มิได้นำค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวควรจะสั่งใหม่เป็นไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 แต่ศาลชั้นต้นกลับนำบทบัญญัติ ป.วิ.พ. มาตรา 18 สั่งให้จำเลยที่ 1 นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์มาวางไว้ใน 15 วัน เป็นการไม่ชอบเช่นกันเมื่อพิจารณาต่อไปจะเห็นได้ว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นในครั้งหลังเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิอุทธรณ์ เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1125/2545 ซึ่งวินิจฉัยว่า ป.วิ.พ. มาตรา 229 บัญญัติไว้เพื่อเป็นหน้าที่ของผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษามาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ ซึ่งค่าธรรมเนียมใช้แทนนอกจากค่าทนายความแล้วยังรวมถึงค่าฤชาธรรมเนียมที่คู่ความอีกฝ่ายต้องเสียไปจากการดำเนินคดีในศาลชั้นต้นด้วย การที่จำเลยยื่นอุทธรณ์โดยนำเพียงค่าทนายความใช้แทนมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลชั้นต้นชอบที่จะสั่งไม่รับอุทธรณ์ได้ทันที แต่เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยมิได้จงใจหรือว่าฝ่าฝืนที่จะไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติกฎหมายและมีคำสั่งกำหนดเวลาให้จำเลยปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนเท่ากับศาลชั้นต้นเปิดโอกาสให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลให้ถูกต้องอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะพิจารณาสั่งอุทธรณ์ อันเป็นกระบวนพิจารณาในชั้นตรวจคำฟ้องอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 232 ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลชั้นต้นโดยเฉพาะ คำสั่งของศาลชั้นต้นเช่นนี้จึงมิใช่คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ซึ่งผู้อุทธรณ์อาจอุทธรณ์คำสั่งศาลนั้นไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 3 ตามมาตรา 234 ได้ ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในชั้นตรวจคำฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยว่า ให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แทนมาวางศาลภายในเวลาที่กำหนดก่อนจึงจะพิจารณาสั่งอุทธรณ์นั้น จำเลยจึงยังไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยมานั้นจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่อาจวินิจฉัยฎีกาของจำเลยได้ แต่คดีนี้เมื่อจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ก็พิจารณาพิพากษาคดีให้ จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลฎีกาก็วินิจฉัยให้เช่นกัน จึงแตกต่างจากคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวและน่าจะแปลกไปจากหลักกฎหมาย ศิริชัย วัฒนโยธิน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ในกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวล กฎหมายนี้ในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม หรือที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ในเรื่องการเขียน และการยื่นหรือการส่งคำคู่ความหรือเอกสารอื่น ๆ หรือในการพิจารณา คดี การพิจารณาพยานหลักฐาน หรือการบังคับคดี เมื่อศาลเห็นสมควร หรือเมื่อคู่ความฝ่ายที่เสียหายเนื่องจากการที่มิได้ปฏิบัติเช่นว่านั้นยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้อง ให้ศาลมีอำนาจที่จะสั่งให้เพิกถอน การพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสียทั้งหมดหรือบางส่วน หรือสั่งแก้ไข หรือมีคำสั่งในเรื่องนั้นอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ศาลเห็นสมควร ข้อค้านเรื่องผิดระเบียบนั้น คู่ความฝ่ายที่เสียหายอาจยกขึ้นกล่าว ได้ไม่ว่าในเวลาใด ๆ ก่อนมีคำพิพากษา แต่ต้องไม่ช้ากว่าแปดวัน นับแต่วันที่คู่ความฝ่ายนั้นได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็น มูลแห่งข้ออ้างนั้น แต่ทั้งนี้คู่ความฝ่ายนั้นต้องมิได้ดำเนินการอันใด ขึ้นใหม่ หลังจากที่ได้ทราบเรื่องผิดระเบียบแล้ว หรือต้องมิได้ให้ สัตยาบันแก่การผิดระเบียบนั้น ๆ ถ้าศาลสั่งให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบใดๆ อันมิใช่ เรื่องที่คู่ความละเลยไม่ดำเนินการพิจารณาเรื่องนั้นภายในระยะเวลา ซึ่งกฎหมายหรือศาลกำหนดไว้เพียงเท่านี้ไม่เป็นการตัดสิทธิคู่ความ ฝ่ายนั้น ในอันที่จะดำเนินกระบวนพิจารณานั้น ๆ ใหม่ให้ถูกต้อง ตามที่กฎหมายบังคับ มาตรา 199 เบญจ เมื่อศาลได้รับคำขอให้พิจารณาคดีใหม่แล้ว หากเห็นสมควรศาลจะมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ก่อนก็ได ในกรณี เช่นนี้ให้ศาลแจ้งคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบ ในการพิจารณาคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ ถ้ามีเหตุควรเชื่อว่าการ ขาดนัดยื่นคำให้การนั้นมิได้เป็นไปโดยจงใจหรือมีเหตุอันสมควร และ ศาลเห็นว่าเหตุผลที่อ้างมาในคำขอนั้นผู้ขออาจมีทางชนะคดีได้ทั้ง ในกรณีที่ยื่นคำขอล่าช้านั้น ผู้ขอได้ยื่นภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้ ศาลมีคำสั่งอนุญาตตามคำขอในกรณีเช่นนี้ถ้ามีการอุทธรณ์หรือฎีกา คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ให้คู่ความฝ่ายที่ขาดนัดยื่นคำให้การแพ้คดี ให้ศาลแจ้งคำสั่งดังกล่าวให้ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาแล้วแต่กรณี ทราบด้วย เมื่อศาลได้มีคำสั่งอนุญาตตามคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ตาม วรรคสอง คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลโดยจำเลยขาดนัดยื่นคำ ให้การและคำพิพากษาหรือคำสั่งอื่น ๆ ของศาลอุทธรณ์หรือ ศาลฎีกาในคดีเดียวกันนั้น และวิธีการบังคับคดีที่ได้ดำเนินไปแล้ว ให้ถือว่าเป็นอันเพิกถอนไปในตัว และให้ศาลแจ้งให้เจ้าพนักงาน บังคับคดีทราบ แต่ถ้าเป็นการพ้นวิสัยที่จะให้คู่ความกลับคืนสู่ฐานะ เดิมดังเช่นก่อนบังคับคดีได้ หรือเมื่อศาลเห็นว่าไม่จำเป็นที่จะบังคับ เช่นนั้น เพื่อประโยชน์แก่คู่ความหรือบุคคลภายนอก ให้ศาลมี อำนาจสั่งอย่างใด ๆ ตามที่เห็นสมควร แล้วให้ศาลพิจารณาคดีนั้น ใหม่ตั้งแต่เวลาที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ โดยให้จำเลยยื่นคำให้ การภายในกำหนดเวลาตามที่ศาลเห็นสมควร คำสั่งศาลที่อนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ ให้เป็นที่สุด แต่ในกรณี ที่ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตผู้ขออาจอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวได้ คำพิพากษา ของศาลอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด ถ้าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การโดยจงใจ หรือไม่มีเหตุอันสมควร เป็นเหตุให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมมากกว่า ที่ควรจะต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นนั้นให้ถือว่าเป็นค่าฤชา ธรรมเนียมอันไม่จำเป็นตามความหมายแห่ง มาตรา 166 มาตรา 229 การอุทธรณ์นั้นให้ทำเป็นหนังสือยื่นต่อศาลชั้นต้น ซึ่งมีคำพิพากษาหรือคำสั่งภายในกำหนดหนึ่งเดือน นับแต่วันที่ได้ อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น และผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินค่าธรรมเนียม ซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งมาวาง ศาลพร้อมกับอุทธรณ์นั้นด้วย ให้ผู้อุทธรณ์ยื่นสำเนาอุทธรณ์ต่อศาล เพื่อส่งให้แก่จำเลยอุทธรณ์ (คือฝ่ายโจทก์หรือจำเลยความเดิมซึ่ง เป็นฝ่ายที่มิได้อุทธรณ์ความนั้น) ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 235 และ มาตรา 236 มาตรา 232 เมื่อได้รับอุทธรณ์แล้ว ให้ศาลชั้นต้นตรวจอุทธรณ์ และมีคำสั่งให้ส่งหรือปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์นั้นไปยังศาลอุทธรณ์ตาม บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ ถ้าศาลปฏิเสธไม่ส่งให้ศาลแสดง เหตุที่ไม่ส่งนั้นไว้ในคำสั่งทุกเรื่องไป ถ้าคู่ความทั้งสองฝ่ายได้ยื่น อุทธรณ์ ศาลจะวินิจฉัยอุทธรณ์ทั้งสองฉบับนั้นในคำสั่งฉบับเดียวกัน ก็ได้ |