

มาตรา 27 อำนาจหน้าที่กรรมการสภาทนายความ
มาตรา 27 ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (1) บริหารกิจการของสภาทนายความตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดในมาตรา 7
ข้อบังคับสภาทนายความ อาศัยอำจาจตาความในมาตรา 27 (3) (ข) แห่งพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528 และความเห็นชอบของสภาทนายกพิเศษแห่งสภาทนายความตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528 คณะกรรมการสภาทนายความ ออกข้อบังคับว่าด้วยการเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ 1. ข้อบังคับนี้เรียกว่า "ข้อบังคับสภาทนายความ ว่าด้วยการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมต่าง ๆ พ.ศ. 2545" ข้อ 2. ข้อบังคับนี้ให้ใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อ 3. ให้ยกเลิกข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม ต่าง ๆ พ.ศ. 2534 ข้อ 4. ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ดังนี้ (1) คำขอหนังสือรับรอง ฉบับละ 100 บาท
ข้อบังคับสภาทนายความ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 27 (3) (จ) แห่งพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528 ข้อ 1 ข้อบังคับนี้เรียกว่า "ข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยการรับเงิน การจ่ายเงินและการเก็บรักษาเงิน พ.ศ. 2542" ข้อ 2 ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา ข้อ 3 ให้ยกเลิกข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยการเก็บรักษาเงิน และการเบิกจ่ายเงินพ.ศ. 2529 ลงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2529 ข้อ 4 ในข้อบังคับนี้ "นายก" หมายความว่า นายกสภาทนายความ "คณะกรรมการ" หมายความว่า คณะกรรมการสภาทนายความ "อุปนายก" หมายความว่า อุปนายกสภาทนายความ "เลขาธิการ" หมายความว่า เลขาธิการสภาทนายความ "เหรัญญิก" หมายความว่า เหรัญญิกสภาทนายความ "พนักงาน" หมายความว่า บุคคลซึ่งได้รับแต่งตั้งในสภาทนายความโดยได้รับเงินเดือนตามอัตราในงบทำการ "เจ้าหน้าที่การเงิน" หมายความว่า เหรัญญิก หัวหน้าฝ่ายบัญชีและการเงิน หรือพนักงานบัญชีและการเงิน ที่นายกสภาทนายความกำหนด ส่วนที่ 1 การรับเงิน ข้อ 5 การรับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ให้ปฏิบัติตามระเบียบของกระทรวงการคลัง ข้อ 6 ให้เจ้าหน้าที่การเงินเป็นเจ้าหน้าที่ในการรับเงิน ข้อ 7 เมื่อได้รับเงินอื่นใดนอกเหนือจากเงินอุดหนุนของรัฐบาล ให้เจ้าหน้าที่การเงินมีหน้าที่ในการรับเงิน ออกใบเสร็จรับเงินมอบให้ผู้ชำระเงินทุกครั้ง ใบเสร็จรับเงินให้เป็นไปตามแบบที่เหรัญญิกกำหนด แต่อย่างน้อยต้องมีหมายเลขกำกับเล่มและหมายเลขกำกับใบเสร็จรับเงินเรียงกันไปทุกฉบับ และใบเสร็จรับเงินแต่ละฉบับอย่างน้อยต้องมีต้นฉบับและสำเนา โดยมอบต้นฉบับให้ผู้ชำระเงินและเก็บสำเนาไว้ในเล่ม 1 ใบ ข้อ 8 ในการออกใบเสร็จรับเงินให้หัวหน้าฝ่ายบัญชีและการเงิน หรือผู้ทำการแทน และเจ้าหน้าที่การเงินอื่น หรือพนักงานซึ่งเหรัญญิกมอบหมาย ลงนามในใบเสร็จรับเงินทุกครั้ง ข้อ 9 ให้ฝ่ายบัญชีและการเงินจัดทำทะเบียนคุมใบเสร็จรับเงินไว้เพื่อให้ทราบและตรวจสอบได้ว่า ได้จัดพิมพ์ขึ้นจำนวนเท่าใด ได้จ่ายใบเสร็จรับเงินเล่มใดหมายเลขใดถึง ข้อ 10 ใบเสร็จรับเงิน ห้ามขูดลบ แก้ไข เพิ่มเติมจำนวนเงินหรือชื่อผู้ชำระเงิน หากใบเสร็จรับเงินฉบับใดลงรายการรับเงินผิดพลาด ก็ให้ขีดฆ่าจำนวนเงินและเขียนใหม่ทั้งจำนวนแล้วให้ผู้รับเงินลงลายมือชื่อกำกับการขีดฆ่านั้นไว้ด้วย หรือขีดฆ่าเลิกใช้ใบเสร็จรับเงินนั้นทั้งฉบับโดยออกฉบับใหม่ ใบเสร็จรับเงินที่ขีดฆ่าเลิกใช้นั้นให้ติดไว้กับสำเนาใบเสร็จรับเงินในเล่ม ข้อ 11 ให้ฝ่ายบัญชีและการเงิน รับผิดชอบเก็บรักษาสำเนาใบเสร็จรับเงินซึ่งสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินหรือสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินประจำเขตยังมิได้ตรวจสอบไว้ในที่ปลอดภัยอย่าให้สูญหายและเมื่อได้ตรวจสอบแล้ว ก็ให้เก็บอย่างเอกสารธรรมดาได้ ข้อ 12 การรับเงินให้รับเป็นตัวเงินสด ธนาณัติ เช็คไปรษณีย์ และเช็คที่เชื่อถือได้ สำหรับการรับเช็คให้ถือหลักปฏิบัติดังต่อไปนี้ 12.1 ต้องเป็นเช็คที่สั่งจ่ายโดยผู้ชำระเงิน หรือเป็นเช็คที่ธนาคารเป็นผู้สั่งจ่าย ถ้าเป็นเช็คที่สั่งจ่ายโดยบุคคลอื่นต้องมีลายมื่อชื่อของผู้ชำระเงินสลักหลังเช็คนั้นด้วย 12.2 ต้องเป็นเช็คที่ลงวันที่เดียวกับวันชำระเงิน หรือก่อนวันชำระเงินไม่เกิน 30 วัน 12.3 ถ้าเป็นเช็คลงวันที่ล่วงหน้า ให้รับไว้เฉพาะเป็นการส่งมอบเช็คให้ก่อนวันถึงกำหนดชำระหนี้ และวันที่ที่ลงในเช็คต้องไม่ช้ากว่าวันที่หนี้ถึงกำหนดชำระ ในกรณีเช่นนั้นให้ออกใบรับเช็คไว้เป็นหลักฐาน และให้ออกใบเสร็จรับเงินให้เมื่อถึงวันที่ที่ระบุในเช็คนั้น 12.4 ต้องเป็นเช็คของธนาคารที่มีสำนักงานตั้งอยู่ภายในเขตกรุงเทพมหานครถ้าเป็นเช็คของธนาคารที่มีสำนักงานอยู่นอกเขตกรุงเทพมหานครให้รับได้เฉพาะที่ผู้ชำระเงิน ข้อ 13 เมื่อได้รับเช็คจากผู้ใดแล้ว ถ้าปรากฏว่าไม่สามารถเรียกเก็บเงินตามเช็คได้ ให้หัวหน้าฝ่ายบัญชีและการเงินแจ้งให้ผู้สั่งจ่ายหรือผู้สลักหลังจ่ายเงินสดทันที แล้วรายงานให้เหรัญญิกทราบ แล้วห้ามมิให้รับเช็คจากผู้ชำระเงินรายนั้นอีกจนกว่าผู้นั้นจะได้ชำระเงินที่ถึงกำหนดชำระดังกล่าวครบถ้วนแล้ว ทั้งนี้เว้นแต่จะได้รับอนุมัติจากนายก อุปนายก เลขาธิการหรือเหรัญญิก เป็นกรณีๆ ไป ในกรณีที่ผู้ชำระเงินไม่จ่ายเงินสดตามวรรคหนึ่ง ให้หัวหน้าฝ่ายบัญชีและการเงินเสนอเลขาธิการ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ในกรณีที่เห็นสมควรให้หัวหน้าฝ่ายบัญชีและการเงิน โดยความเห็นชอบของเลขาธิการหรือเหรัญญิก จะสั่งไม่ให้รับเช็คจากบุคคลใดเป็นการเฉพาะหรือเป็นการทั่วไปก็ได้ ข้อ 14 การรับเช็คที่มิได้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้นให้กระทำได้โดยอนุมัติของนายก อุปนายก เลขาธิการ หรือเหรัญญิก ข้อ 15 การไปรับเงิน ณ สถานที่จ่ายเงินของผู้ชำระเงินให้มีทะเบียนคุมใบเสร็จรับเงินที่นำไปเก็บเงิน และให้พนักงานเก็บเงินลงชื่อรับใบเสร็จรับเงินที่จะนำไปเก็บในทะเบียนคุมดังกล่าว เมื่อเก็บเงินได้แล้ว ให้นำส่งฝ่ายบัญชีและการเงินภายในวันเดียวกันแล้วให้เจ้าหน้าที่ผู้รับเงินลงชื่อในใบเสร็จรับเงินทุกฉบับที่พนักงานเก็บเงินส่ง ใบเสร็จรับเงินเล่มใดที่พนักงานเก็บเงินใช้หมดแล้ว ต้องส่งคืนฝ่ายบัญชีและการเก็บเงินเป็นหลักฐานต่อไป ข้อ 16 ให้เจ้าหน้าที่การเงินมีหน้าที่ติดตามเร่งรัดให้ลูกหนี้ชำระหนี้ และให้เป็นหน้าที่ของพนักงานและลูกจ้างทุกคนในอันที่จะให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่การเงิน เพื่อเร่งรัดติดตามให้ลูกหนี้ชำระหนี้ให้ครบถ้วนตามสัญญาหรือข้อตกลงที่ทำไว้ ข้อ 17 เจ้าหน้าที่การเงินที่รับเงินและรักษาเงินต้องรับผิดชอบจำนวนเงินหรือเอกสารแทนตัวเงินอื่นๆ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของตน ข้อ 18 เงินรายรับที่รับไว้ประจำวันจะนำไปใช้จ่ายไม่ได้ และให้นำฝากธนาคารตามข้อ 32 ส่วนที่ 2 การจ่ายเงิน ข้อ 19 การจ่ายเงินให้จ่ายได้เฉพาะเพื่อกิจการ และภายในขอบเขตแห่งวัตถุประสงค์ของพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528 ข้อ 20 นายเป็นผู้มีอำนาจในการสั่งจ่ายเงินคราวหนึ่งไม่เกิน 50,000 บาท อุปนายกไม่เกิน 40,000 บาท เลขาธิการไม่เกิน 30,000 บาท และเหรัญญิกไม่เกิน 20,000 บาท ถ้าเป็นการจ่ายเงินคราวหนึ่งเกิน 50,000 บาทขึ้นไป ให้กระทำได้เมื่อได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการ แต่ทั้งนี้ไม่รวมถึงการสั่งจ่ายเพื่อจ่ายเป็นเงินเดือน ค่าจ้าง หรือค่าล่วงเวลา หรือเงินอื่นใดที่ต้องจ่ายให้พนักงานหรือลูกจ้างพร้อมกับการจ่ายเงินเดือนหรือค่าจ้างตามปกติ ซึ่งเหรัญญิกมีอำนาจสั่งจ่ายได้ตามที่จ่ายจริง หรือเป็นกรณีการเบิกจ่ายตามมติที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการ ข้อ 21 เลขาธิการหรือเหรัญญิกอาจมอบหมายเป็นลายลักษณ์อักษรให้พนักงาน ซึ่งดำรงตำแหน่งใดก็ได้ให้สั่งจ่ายเงินเพื่อกิจการของสภาทนายความ ทั้งนี้ในการมอบหมายให้คำนึงถึงระดับ ตำแหน่ง หน้าที่ และความรับผิดชอบเป็นสำคัญ ข้อ 22 ก่อนจ่ายเงินให้เรียกใบเสร็จรับเงินที่เซ็นชื่อรับเงินแล้ว หรือให้ผู้รับเงินลงลายมือชื่อแสดงการรับเงินในเอกสารการรับเงิน และเรียกเก็บใบสำคัญจ่ายไว้เป็นหลักฐานการจ่ายเงินทุกราย สำหรับการจ่ายเงินเดือน ค่าจ้าง ค่าแรงงาน เบี้ยเลี้ยง ค่าล่วงเวลา ค่าพาหนะ ต้องมีเอกสารแสดงการรับเงินไว้เป็นหลักฐาน ข้อ 23 กำหนดการจ่ายเงินเดือน ค่าจ้าง ค่าตอบแทน หรือเงินอื่นใดให้เป็นไปตามระเบียบที่เลขาธิการกำหนด ข้อ 24 การจ่ายเงินต้องจ่ายให้ผู้มีสิทธิรับเงิน โดยให้แสดงหลักฐาน เช่น บัตรประจำตัวหรือหลักฐานที่เชื่อถือมาแสดงประกอบการขอรับเงิน ข้อ 25 การจ่ายเงินแต่ละครั้งถ้าไม่เกิน 5,000 บาท จะจ่ายเป็นเงินสดก็ได้ แต่ถ้าเกิน5,000 บาท ให้จ่ายเป็นเช็คระบุชื่อผู้รับเงิน และขีดคร่อมเช็คนั้นด้วย ทั้งนี้ เว้นแต่จะได้รับอนุมัติจากเลขาธิการ หรือเหรัญญิก เป็นอย่างอื่น ข้อ 26 การออกเช็คสั่งจ่ายเงินในกิจการของสภาทนายความนั้น ให้นายก อุปนายกเลขาธิการ หรือเหรัญญิก ลงนามร่วมกันอย่างน้อยสองท่าน ข้อ 27 การนำเงินไปฝากหรือส่งธนาคารหรือไปจ่าย ณ สถานที่แห่งอื่นนอกจากบริเวณที่ประจำทำงาน ถ้าเงินที่นำไปคราวหนึ่งเป็นตัวเงินสด หรือเช็คเงินสดเกินกว่า 5,000 บาท ให้หัวหน้าฝ่ายบัญชีและการเงินแต่งตั้งพนักงานบัญชีและการเงินคนหนึ่ง กับพนักงานระดับหัวหน้าฝ่ายขึ้นไปอีกคนหนึ่งร่วมเป็นกรรมการรับผิดชอบ ข้อ 28 กรรมการแต่ละคนดังกล่าวตามข้อ 27 มีหน้าที่รับผิดชอบร่วมกันในจำนวนเงินที่นำไปส่งหรือไปจ่าย ข้อ 29 การจ่ายเงินรายใดที่จะต้องมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามประมวลรัษฎากร พนักงาน บัญชีและการเงินมีหน้าที่หักค่าภาษีและนำส่งภาษีให้เป็นไปตามกฎหมาย ข้อ 30 เมื่อการรับและจ่ายเงินประจำวันสิ้นสุดลงแล้ว ให้หัวหน้าฝ่ายบัญชีและการเงินรวบรวมการรับเงินประจำวัน และใบสำคัญจ่ายเงินประจำวันลงบัญชี และทำรายงานการเงินประจำวันเสนอหัวหน้าฝ่ายบัญชีและการเงิน เพื่อเสนอเลขาธิการวันทำการถัดไป ข้อ 31 ให้ฝ่ายบัญชีและการเงินรวบรวมใบสำคัญจ่ายและเอกสารในการลงบัญชี และให้ทำรายงานแสดงรายได้ รายจ่าย ประจำเดือนเสนอเลขาธิการ ไม่เกินวันที่ 25 ของเดือนถัดไปและต้องจัดทำงบดุลเพียงวันที่ 31 ธันวาคมของทุกปีให้เสร็จสิ้นภายในเดือนกุมภาพันธ์ของปีถัดไป โดยผู้สอบบัญชีจักต้องรับรองงบดุลเพื่อนำเสนอที่ประชุมใหญ่แต่ละปี ส่วนที่ 3 การเก็บรักษา ข้อ 32 ให้เก็บเงินไว้ในที่ทำการได้ไม่เกิน 5,000 บาท ส่วนเงินรายรับให้นำฝากธนาคารทั้งหมด ถ้าฝากไม่ทันในวันนั้นให้นำฝากในวันทำการถัดไป และให้รายงานความล่าช้าต่อเหรัญญิกทันที ข้อ 33 ให้เก็บเงินและสมุดเช็คไว้ที่สำนักงานในตู้นิรภัยหรือที่เก็บเงินที่มั่นคง แข็งแรงสามารถทนไฟและยากแก่การทำลาย ห้ามเก็บกุญแจตู้นิรภัยหรือที่เก็บเงินนั้นไว้นอกสำนักงานหรือในลิ้นชักโต๊ะเป็นอันขาด ข้อ 34 สมุดบัญชี เอกสาร หลักฐานการเงิน เช่น ใบสำคัญ ใบยืม ฯลฯ ให้เก็บรักษาไว้ในตู้หรือสถานที่เก็บอันมั่นคงแข็งแรง ข้อ 35 ให้มีคณะกรรมการรักษาเงินคณะหนึ่งประกอบด้วย หัวหน้าฝ่ายบัญชีและการเงินเป็นกรรมการและพนักงานซึ่งดำรงตำแหน่งตั้งแต่หัวหน้าฝ่ายขึ้นไป ซึ่งเลขาธิการแต่งตั้งอีกสองคนเป็นกรรมการ ให้คณะกรรมการรักษาเงินมีหน้าที่รับผิดชอบร่วมกัน ในการเก็บรักษาเงินที่เก็บรักษาไว้ ณ สำนักงานสภาทนายความ และให้คณะกรรมการมอบหมายให้กรรมการคนหนึ่งเป็นผู้ถือกุญแจสำหรับเปิด - ปิดตู้นิรภัย หรือที่เก็บเงิน ข้อ 36 คณะกรรมการรักษาเงินดังกล่าวตามข้อ 35 มีหน้าที่ต้องปฏิบัติดังต่อไปนี้ สั่ง ณ วันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2542 สัก กอแสงเรือง นายกสภาทนายความ
ข้อบังคับสภาทนายความ ข้อ 1 ข้อบังคับนี้เรียกว่า ข้อบังคับว่าด้วยการขึ้นทะเบียนทนายความผู้ทำคำรับรองลายมือชื่อและเอกสาร พ.ศ. 2551 ข้อ 2 ข้อบังคับนี้ให้ใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อ 3 การขอขึ้นทะเบียนทนายความผู้ทำคำรับรองลายมือชื่อและเอกสาร ให้ยื่นคำขอตามแบบที่สภาทนายความกำหนด โดยผู้ยื่นคำขอต้องชำระค่าธรรมเนียมไม่เกินอัตราที่กำหนดไว้ท้ายข้อบังคับนี้ ข้อ 4 การขอขึ้นทะเบียนเป็นทนายความผู้ทำคำรับรองลายมือชื่อและเอกสาร ผู้ขอจะต้องมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้ (1) เป็นผู้ประกอบวิชาชีพทนายความ ข้อ 5 เมื่อได้รับคำขอขึ้นทะเบียนแล้ว หากผู้ยื่นคำขอมีคุณสมบัติถูกต้องตามข้อ 4 ให้สภาทนายความรับขึ้นทะเบียนและออกหนังสือรับรองพร้อมหมายเลขทะเบียนและตราประทับให้แก่ผู้ยื่นคำขอโดยเร็ว ในกรณีที่สภาทนายความไม่รับขึ้นทะเบียนให้แก่ผู้ยื่นคำขอ ต้องแสดงเหตุผลของการไม่รับขึ้นทะเบียนโดยชัดแจ้ง ในกรณีเช่นนี้ ผู้ยื่นคำขอมีสิทธิ์อุทธรณ์การไม่รับขึ้นทะเบียนต่อสภานายกพิเศษแห่งสภาทนายความภายในกำหนด 30 วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้งคำสั่งไม่รับขึ้นทะเบียนจากสภาทนายความ คำสั่งของสภานายกพิเศษแห่งสภาทนายความให้เป็นที่สุด ข้อ 6 หนังสือรับรองการขึ้นทะเบียนให้มีอายุ 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ออก การต่ออายุหนังสือรับรองการขึ้นทะเบียนให้ยื่นคำขอตามแบบที่สภาทนายความกำหนด โดยผู้ยื่นคำขอต้องชำระค่าธรรมเนียมไม่เกินอัตราที่กำหนดไว้ท้ายข้อบังคับนี้ ภายใต้บังคับข้อ 4 ทนายความที่ประสงค์จะขอต่ออายุหนังสือรับรองการขึ้นทะเบียนให้ยื่นคำขอภายใน 90 วัน ก่อนวันสิ้นอายุ ข้อ 7 ในกรณีที่หนังสือรับรอง หรือตราประทับสูญหาย หรือชำรุดเสียหายในสาระสำคัญให้ทนายความยื่นคำขอรับใบแทนหรือตราประทับแทนตามแบบที่สภาทนายความกำหนดภายใน 30 วันนับแต่วันที่ทราบการสูญหายหรือชำรุดเสียหาย ทั้งนี้ ให้ชำระค่าธรรมเนียมไม่เกินอัตราที่กำหนดไว้ท้ายข้อบังคับนี้ ข้อ 8 ทนายความที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นทนายความผู้ทำคำรับรองลายมือชื่อและเอกสาร หากมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลทางทะเบียนจากที่แจ้งไว้เดิม จะต้องยื่นคำขอแจ้งเปลี่ยนแปลงข้อมูลตามแบบที่สภาทนายความกำหนดภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ทั้งนี้ ให้ชำระค่าธรรมเนียมไม่เกินอัตราที่กำหนดไว้ท้ายข้อบังคับนี้ ข้อ 9 หนังสือรับรองการขึ้นทะเบียนและตราประทับให้เป็นไปตามที่สภาทนายความกำหนด ข้อ 10 ให้สภาทนายความมีคำสั่งให้ทนายความที่ได้รับการขึ้นทะเบียนพ้นจากการเป็นทนายความผู้ทำคำรับรองลายมือชื่อและเอกสารในกรณี ดังต่อไปนี้ (1) ขาดคุณสมบัติตามข้อ 4 ข้อ 11 ทนายความที่พ้นจากการเป็นทนายความผู้ทำคำรับรองลายมือชื่อและเอกสารตามข้อ 10 มีสิทธิ์อุทธรณ์คำสั่งของสภาทนายความต่อสภานายกพิเศษแห่งสภาทนายความภายในกำหนด 30 วันนับจากวันที่ได้รับแจ้งคำสั่งจากสภาทนายความ คำสั่งของสภานายกพิเศษแห่งสภาทนายความให้เป็นที่สุด ข้อ 12 ให้สภาทนายความกำหนดค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการขอขึ้นทะเบียนเป็นทนายความผู้ทำคำรับรองลายมือชื่อและเอกสารไม่เกินอัตราที่กำหนดไว้ท้ายข้อบังคับนี้ เดชอุดม ไกรฤทธิ์
|