

อายุความสัญญากู้กรุงไทยธนวัฏ อายุความสัญญากู้กรุงไทยธนวัฏ จำเลยอ้างว่าสามารถใช้เอทีเอ็มกดเงินจากตู้เอทีเอ็มเป็นกรณีที่ธนาคารออกเงินทดรองไปก่อนแล้วเรียกเก็บเงินจากจำเลยในภายหลังมีอายุความ 2 ปี ธนาคารโจทก์ฟ้องเมื่อเกิน 2 ปี จึงขาดอายุความ ในเรื่องนี้ศาลฎีกาเห็นว่าข้อตกลงตามสัญญากู้กรุงไทยธนวัฏเป็นเรื่องกู้ยืมเงินจากบัญชีเงินฝากของจำเลยและจำเลย ยอมเสียดอกเบี้ยให้โจทก์ จำเลยจะถอนเงินกู้วันใด จำนวนเท่าใดก็ได้ แต่ต้องไม่เกินวงเงินที่โจทก์และจำเลยตกลงกัน โดยจะใช้สมุดบัญชีเงินฝากหรือใช้บัตรกรุงไทยเอทีเอ็มถอนเงินก็ได้ ข้อสัญญาเช่นนี้ ไม่ใช่กรณีโจทก์ออกเงินทดรองไปก่อนแล้วเรียกเก็บเงินจากจำเลยภายหลัง แต่เป็นกรณีที่กฎหมายไม่ได้กำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4539/2553 ข้อตกลงตามสัญญากู้กรุงไทยธนวัฏเป็นเรื่องที่โจทก์ให้จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ที่เปิดไว้กับโจทก์และจำเลยที่ 1 ยอมเสียดอกเบี้ยให้โจทก์ จำเลยที่ 1 จะถอนเงินกู้จากบัญชีเงินฝากดังกล่าววันใดก็ได้ จำนวนเท่าใดก็ได้ แต่ต้องไม่เกินวงเงินที่โจทก์และจำเลยตกลงกัน โดยจำเลยที่ 1 จะใช้สมุดบัญชีเงินฝากในการถอนเงินหรือใช้บัตรกรุงไทยเอทีเอ็มที่โจทก์ออกให้จำเลยที่ 1 ถอนเงินจากเครื่องถอนเงินอัตโนมัติก็ได้ จำเลยที่ 1 มีเงินเดือนเข้าฝากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ดังกล่าวทุกเดือน เมื่อมีเงินเดือนเข้าฝาก โจทก์จะหักกลบกับเงินที่จำเลยที่ 1 ถอนไป หากจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ โจทก์จะคิดดอกเบี้ยภายในวันสิ้นเดือน ข้อสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เช่นนี้ ไม่ใช่กรณีโจทก์ออกเงินทดรองไปก่อนแล้วเรียกเก็บเงินจากจำเลยที่ 1 ภายหลัง แต่เป็นกรณีที่กฎหมายไม่ได้กำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 57,848.23 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี จากต้นเงิน 27,918.65 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 6,000 บาท จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์รับรองว่ามีเหตุสมควรฎีกาในข้อเท็จจริงได้ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อต่อมาว่า ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ โดยจำเลยทั้งสองฎีกาว่า กรณีของจำเลยที่ 1 มีลักษณะที่โจทก์ออกเงินทดรองไปก่อนแล้วเรียกเก็บจากจำเลยที่ 1 ภายหลังมีอายุความ 2 ปี นั้น ปรากฏว่าตามสัญญากู้กรุงไทยธนวัฏเป็นเรื่องโจทก์ให้จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงิน 28,000 บาท จากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ที่เปิดไว้กับโจทก์ สาขาราชเทวี โดยจำเลยที่ 1 ผู้กู้ยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14 ต่อปี ตกลงชำระดอกเบี้ยเป็นรายเดือน ทุกเดือนติดต่อกันภายในวันสิ้นสุดของเดือน จำเลยที่ 1 จะชำระหนี้ทั้งหมดให้เสร็จสิ้นภายในกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่ทำสัญญา จำเลยที่ 1 จะถอนเงินกู้วันใดก็ได้ จำนวนเท่าใดก็ได้ แต่เมื่อรวมกันแล้วต้องไม่เกิน 28,000 บาท จำเลยที่ 1 มีเงินเดือนเข้าฝากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ดังกล่าวทุกเดือน เมื่อมีเงินเดือนเข้าฝากและหักกลบกับที่จำเลยที่ 1 ถอนไป ถ้าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ โจทก์คิดดอกเบี้ยภายในวันสิ้นเดือน เห็นว่า กรณีดังกล่าวไม่ใช่กรณีโจทก์ออกเงินทดรองไปก่อนแล้วเรียกเก็บจากจำเลยที่ 1 ภายหลังดังที่จำเลยทั้งสองฎีกา แต่ข้อสัญญาระหว่างจำเลยที่ 1 กับโจทก์ตามสัญญากู้กรุงไทยธนวัฏในลักษณะนี้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มิได้บัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 ดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยต้องกันมา ฟ้องของโจทก์ไม่ขาดอายุความ ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อสุดท้ายว่า ต้องกำหนดค่าทนายความให้จำเลยทั้งสองใช้แทนโจทก์ในชั้นอุทธรณ์ใหม่หรือไม่ เห็นว่า ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าทนายความให้จำเลยทั้งสองใช้แทนโจทก์ในชั้นอุทธรณ์ 6,000 บาท เกินกว่าอัตราขั้นสูงดังที่ระบุไว้ในตาราง 6 เดิม ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เป็นการไม่ถูกต้อง ต้องกำหนดให้ใหม่ ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังขึ้น พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ ส่วนค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยทั้งสองใช้แทนโจทก์ 6,000 บาท นั้น ให้ใช้แทนเพียง 1,400 บาท |