![](https://www.lawyerleenont.com/images/column_1713691154/ekchai-900-45 one name-middle.png)
![](/images_profiles/heading1.jpg)
อายุความหนึ่งปีนับแต่วันที่ผู้ขอเลิกการรับบุตรบุญธรรมรู้ อายุความหนึ่งปีนับแต่วันที่ผู้ขอเลิกการรับบุตรบุญธรรมรู้ ปัญหาว่าอายุความจะเริ่มนับเมื่อใด คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่? กฎหมายห้ามมิให้ฟ้องขอเลิกการรับบุตรบุญธรรมเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปี บุตรบุญธรรมจงใจละทิ้งผู้รับบุตรบุญธรรมไปอยู่กับพ่อแม่ที่แท้จริงหลายปีแล้วโดยไม่เคยกลับมาอีกไปถือเป็นพฤติการณ์ต่อเนื่องกัน อายุความยังไม่เริ่มนับ แม้ผู้รับบุตรบุญธรรมรู้พฤติการณ์ดังกล่าวมาเกิน 1 ปี แล้วก็สามารถยกเป็นเหตุฟ้องเลิกการรับบุตรบุญธรรมได้ สิทธิฟ้องร้องยังไม่ระงับไป คดียังไม่ขาดอายุความ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4685/2552 มาตรา 1598/34 ห้ามมิให้ฟ้องขอเลิกการรับบุตรบุญธรรมเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปี นับแต่วันที่ผู้ขอเลิกการรับบุตรบุญธรรมรู้หรือควรได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุให้เลิกการนั้นหรือเมื่อพ้นกำหนดสิบปีนับแต่เหตุนั้นเกิดขึ้น โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และนางอาภาภรณ์ ภริยาโจทก์จดทะเบียนรับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรม ต่อมานางอาภาภรณ์ ภริยาโจทก์ถึงแก่ความตาย และเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2547 จำเลยจงใจละทิ้งโจทก์ ขอให้เลิกการรับบุตรบุญธรรมระหว่างโจทก์กับจำเลย จำเลยให้การว่า โจทก์และนางอาภาภรณ์ ผู้รับบุตรบุญธรรมถูกจำเลยทิ้งร้างตั้งแต่แรกรับบุตรบุญธรรมเป็นระยะเวลา 9 ปี แล้ว คดีโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงว่า จำเลยอยู่ในความอุปการะของโจทก์และนางอาภาภรณ์ ภริยาโจทก์ช่วงระยะเวลาหนึ่งและจำเลยได้จงใจละทิ้งโจทก์ไปตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2547 ขอให้ศาลวินิจฉัยเพียงประเด็นเดียวว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “เห็นว่า คดีมีปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ประเด็นแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ตามทะเบียนการรับบุตรบุญธรรมท้ายคำฟ้องปรากฏว่าผู้รับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรมนั้น คือ โจทก์และนางอาภาภรณ์ ภริยาของโจทก์ จำเลยไม่ได้โต้แย้งเรื่องความสมบูรณ์ถูกต้องของการจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรม โจทก์จึงเป็นผู้รับบุตรบุญธรรมด้วย โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขอเลิกการรับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรม ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ซึ่งเป็นคู่สมรสของนางอาภาภรณ์ผู้รับบุตรบุญธรรมเป็นเพียงผู้ให้ความยินยอมให้นางอาภาภรณ์รับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรมนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประเด็นสุดท้ายว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า ปัญหานี้โจทก์และจำเลยรับข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้จงใจละทิ้งโจทก์ไปตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2547 ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่เพียงพอในการใช้วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอายุความ ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยประเด็นนี้ตาม อุทธรณ์ของโจทก์ไปโดยไม่ย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า จำเลยซึ่งจงใจละทิ้งโจทก์ได้กลับไปอาศัยอยู่กับบิดามารดาที่แท้จริงตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2547 โดยไม่เคยกลับไปอยู่กับโจทก์อีกเลยการจงใจละทิ้งโจทก์ของจำเลยจึงมีพฤติการณ์ต่อเนื่องกัน ตราบที่จำเลยยังไม่กลับไปอยู่กับโจทก์ เหตุที่โจทก์จะฟ้องเลิกการรับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรมก็ยังคงมีอยู่อายุความจึงยังไม่เริ่มนับ แม้โจทก์ทราบพฤติการณ์ดังกล่าวของจำเลยมาเกิน 1 ปี แล้วโจทก์ก็ยกเป็นเหตุฟ้องเลิกการรับบุตรบุญธรรมได้ สิทธิฟ้องร้องของโจทก์ไม่ระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/34 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้นเช่นกัน” พิพากษากลับเป็นว่า ให้ยกเลิกการรับบุตรบุญธรรมระหว่างโจทก์กับจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นนี้ให้เป็นพับ
|