สัญญาคนโกง(ไม่ได้ทำสัญญากู้ยืมเงิน) | |
นาย ก ได้มายืมเงินของนาย ข ไปจำนวนหนึ่ง แต่นาย ข ไม่ได้ทำสัญญาแต่อย่างใดแต่เมื่อถึงกำหนดนาย ก ไม่ยอมคืนเงินให้กับนาย ข ดิฉันอย่างทราบว่าจะทำอย่างไรกับนาย นาย ก ได้บ้างค่ะ | |
ผู้ตั้งกระทู้ นาดา (moo_ann007-at-windowslive-dot-com) :: วันที่ลงประกาศ 2011-07-22 18:51:41 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (3304858) | |
มาตรา 653 การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่าจะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง ลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้ เวนคืนแล้วหรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-08-23 18:29:24 |
ความคิดเห็นที่ 2 (3304860) | |
ไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ยืม ผู้เสียหายเบิกความว่าเกิดจากหนี้การพนันหวยใต้ดิน ซึ่งจำเลยก็มิได้โต้แย้ง จึงเป็นมูลหนี้ที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายย่อมไม่ก่อให้เกิดหนี้ที่ผู้เสียหายพึงชำระ และแม้จำเลยเบิกความว่าเป็นหนี้เงินยืม จำเลยก็รับว่าที่ผู้เสียหายไม่ยอมชำระหนี้ดังกล่าว ก็เพราะไม่มีลายมือชื่อของผู้เสียหาย หนี้กู้ยืมเงิน 2,000 บาท ของผู้เสียหายจึงไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้ยืม จำเลยย่อมฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้ กรณีจึงไม่มีมูลหนี้ที่จำเลยจะฟ้องร้องบังคับคดีต่อผู้เสียหายได้ด้วย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4882/2550 จำเลยไปหาผู้เสียหายโดยมีเจตนาเพื่อทวงหนี้ที่ผู้เสียหายค้างชำระ โดยก่อนเกิดเหตุจำเลยพยายามยกถังแก๊สที่ผู้เสียหายใช้หุงต้มในการขายก๋วยเตี๋ยวไปเพื่อการชำระหนี้ แต่จำเลยเอาไปไม่ได้เพราะสามีผู้เสียหายไม่ยอมให้เอาไป ต่อมาจำเลยกับผู้เสียหายก็โต้เถียงกันอีกเรื่องที่ผู้เสียหายไม่ชำระหนี้ให้จำเลย ทำให้จำเลยโกรธแค้นจึงเข้ากระชากสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายและเอาสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายไปครึ่งเส้น แม้เพื่อชดเชยที่ผู้เสียหายไม่ยอมชำระหนี้ แต่การบังคับชำระหนี้ก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย มิใช่กระชากสร้อยคอทองคำครึ่งเส้นของผู้เสียหายไปโดยพลการ ทั้งมูลหนี้ที่จำเลยมาทวงผู้เสียหายนั้น ผู้เสียหายเบิกความว่าเกิดจากหนี้การพนันหวยใต้ดิน ซึ่งจำเลยก็มิได้โต้แย้ง จึงเป็นมูลหนี้ที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ย่อมไม่ก่อให้เกิดหนี้ที่ผู้เสียหายพึงชำระและแม้จำเลยเบิกความว่าเป็นหนี้เงินยืม จำเลยก็รับว่าที่ผู้เสียหายไม่ยอมชำระหนี้ดังกล่าว ก็เพราะไม่มีลายมือชื่อของผู้เสียหาย หนี้กู้ยืมเงิน 2,000 บาท ของผู้เสียหายจึงไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้ยืม จำเลยย่อมฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้ กรณีจึงไม่มีมูลหนี้ที่จำเลยจะฟ้องร้องบังคับคดีต่อผู้เสียหายได้ด้วย ดังนั้น การกระชากสร้อยคอครึ่งเส้นของจำเลยดังกล่าว จึงเป็นการเอาไปโดยทุจริต เพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยย่อมมีความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ตาม ป.อ.มาตรา 336 ตามพฤติการณ์แห่งคดีที่จำเลยขับรถยนต์ไปพบผู้เสียหายเพื่อทวงหนี้ แต่ผู้เสียหายไม่ยอมชำระหนี้ได้เกิดโต้เถียงกัน จำเลยจึงกระชากสร้อยคอของผู้เสียหายไปได้ครึ่งเส้น เพื่อบังคับชำระหนี้แล้วขับรถยนต์ออกไปจากบริเวณที่เกิดเหตุนั้นยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 336 ทวิ การกระทำความผิดของจำเลยเป็นการกระทำที่อุกอาจไม่เคารพต่อกฎหมายของบ้านเมืองส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของบุคคลซึ่งอยู่ร่วมกันในสังคม พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง กรณีจึงไม่ควรรอการลงโทษให้จำเลย โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336, 336 ทวิ ให้จำเลยคืนสร้อยคอทองคำส่วนที่เหลือหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 1,250 บาท แก่ผู้เสียหาย จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 วรรคแรก ประกอบมาตรา 336 ทวิ ให้ลงโทษจำคุก 6 เดือน กับให้จำเลยคืนสร้อยคอทองคำส่วนที่เหลือหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 1,250 บาท แก่ผู้เสียหาย จำเลยอุทธรณ์ โจทก์ฎีกา พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 วรรคแรก ลงโทษจำคุก 6 เดือน และให้จำเลยคืนสร้อยคอทองคำส่วนที่เหลือหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 1,250 บาท แก่ผู้เสียหาย ( นพวรรณ อินทรัมพรรย์ - เปรมใจ กิติคุณไพโรจน์ - อร่าม เสนามนตรี )
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2011-08-23 18:40:14 |
ความคิดเห็นที่ 3 (3304862) | |
ไม่มีหลักฐานการกู้ยืม ขณะที่ออกเช็คพิพาทนั้นหนี้ดังกล่าวยังไม่มีหลักฐานการกู้ยืมเป็นหน้งสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จึงเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่ไม่อาจบังคับได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 463/2552 จำเลยออกเช็คพิพาทให้แก่โจทก์ตั้งแต่ก่อนที่จะมีการจัดทำหนังสือสัญญากู้เงิน เช็คพิพาทจึงมิได้ออกเพื่อชำระหนี้เงินกู้ซึ่งเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย เนื่องจากขณะที่ออกเช็คพิพาทนั้นหนี้ดังกล่าวยังไม่มีหลักฐานการกู้ยืมเป็นหน้งสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จึงเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่ไม่อาจบังคับได้ตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยจึงขาดองค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2541 เวลากลางวันจำเลยออกเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาวงศ์สว่าง จำนวน 4 ฉบับ ฉบับแรกและฉบับที่สอง ลงวันที่ 16 มกราคม 2541 จำนวนเงินฉบับละ 100,000 บาท ฉบับที่สามและฉบับที่สี่ ลงวันที่ 19 มกราคม 2541 จำนวนเงินฉบับละ 100,000 บาท ชำระหนี้เงินกู้ยืมซึ่งเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย เมื่อเช็คทั้งสี่ฉบับถึงกำหนด ธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน เช็คฉบับแรกและฉบับที่สอง เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2541 ให้เหตุผลว่า โปรดติดต่อผู้สั่งจ่าย ฉบับที่สามและฉบับที่สี่ เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2541 ให้เหตุผลว่า มีคำสั่งให้ระงับการจ่าย การกระทำของจำเลย เป็นการออกเช็คโดยมีเจตนาที่จะมิให้มีการใช้เงินตามเช็ค โดยขณะออกเช็คนั้นไม่มีเงินอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ หรือออกเช็คให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ในขณะที่ออกเช็คนั้นหรือถอนเงินทั้งหมดหรือแต่บางส่วนออกจากบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินตามเช็คจนจำนวนเงินเหลือไม่เพียงพอที่จะไม่ใช่เงินตามเช็คนั้นได้หรือห้ามธนาคารให้ใช้เงินตามเช็คนั้นโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูลให้ประทับฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 (1) (2) (3) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป จำคุกกระทงละ 1 เดือน รวม 4 กระทง เป็นจำคุก 4 เดือน จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความต่างไม่โต้เถียงกันรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์และจำเลยเป็นเพื่อนกัน จำเลยออกเช็คพิพาทจำนวน 4 ฉบับ ตามเอกสารหมาย จ.3, จ.5, จ.7 และ จ.9 เมื่อเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับถึงกำหนดชำระเงิน โจทก์นำไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินตามใบคืนเช็คเอกสารหมาย จ.4, จ.6, จ.8 และ จ.10 ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีโจทก์เพียงลำพังเบิกความว่า ตั้งแต่ปี 2539 จำเลยกู้และรับเงินไปจากโจทก์หลายครั้ง แต่ไม่ได้ทำหลักฐานกันไว้เป็นหนังสือจนกระทั่งมียอดหนี้ประมาณ 587,091 บาท ในปี 2541 จึงได้ทำหนังสือสัญญากู้เงินตามฟ้องขึ้นไว้เป็นหลักฐานโดยจำเลยตกลงสั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ตามสัญญาดังกล่าวจำนวน 6 ฉบับ แต่โจทก์นำมาฟ้องเป็นคดีนี้เพียง 4 ฉบับ คือเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.3, จ.5, จ.7 และ จ.9 ส่วนเช็คอีก 2 ฉบับ รวมเป็นเงิน 187,091 บาท นั้น โจทก์ได้รับชำระเงินจากจำเลยแล้วฝ่ายจำเลยนำสืบต่อสู้ว่า จำเลยออกเช็คพิพาทมอบแก่โจทก์เพื่อเป็นการประกันหนี้ที่โจทก์ปล่อยเงินกู้แก่บุคคลทั่วไปโดยมีจำเลยเป็นคนกลาง จึงยันคำกันอยู่ อย่างไรก็ดี ตามหนังสือสัญญากู้เงิน ลงวันที่ 7 มกราคม 2541 เอกสารหมาย จ.2 ที่โจทก์นำสืบนั้นไม่มีวันถึงกำหนดชำระหนี้ โดยได้ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับเช็คที่จำเลยออกมอบแก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ดังกล่าวจำนวน 6 ฉบับ ซึ่งรวมทั้งเช็คพิพาทว่าเป็นเช็คลงวันที่ล่วงหน้าสั่งจ่ายลงวันที่ 16 มกราคม 2541 จำนวนเงิน 100,000 บาท รวม 3 ฉบับ และสั่งจ่ายลงวันที่ 19 มกราคม 2541 จำนวนเงิน 100,000 บาท รวม 2 ฉบับ กับสั่งจ่ายลงวันที่ 19 มกราคม 2541 จำนวนเงิน 87,091 บาท อีก 1 ฉบับ ที่สำคัญเป็นเช็คธนาคารเดียวกันทั้ง 6 ฉบับ และลำดับเลขของเช็คแต่ละฉบับก็บ่งบอกว่าเป็นเช็คสั่งจ่ายจากบัญชีเดียวกันทั้งหมดด้วย โดยโจทก์เองก็มิได้นำสืบอธิบายเหตุผลไว้ จึงผิดวิสัย ผิดธรรมดาที่จำเลยจะออกเช็คชำระหนี้ในมูลหนี้เดียวกันแก่เจ้าหนี้รายเดียว โดยลงวันที่สั่งจ่ายในวันเดียวกันหลายๆ ฉบับจากบัญชีเดียวกัน หรือโจทก์ในฐานะเจ้าหนี้เงินกู้จะยอมรับการชำระหนี้ที่ยุ่งยากสับสนเหล่านี้ ประกอบกับโจทก์ก็เบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยยอมรับว่า หนังสือสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.2 ได้จัดทำขึ้นหลังจากที่โจทก์เดินทางไปอยู่ต่างประเทศ และได้ความจากนางภู อดีตลูกจ้างของโจทก์ซึ่งเป็นพยานในหนังสือสัญญากู้ดังกล่าวที่จำเลยอ้างมาเป็นพยานเบิกความว่า ในวันดังกล่าวเห็นแต่จำเลยมาทำสัญญากู้เท่านั้น ไม่มีการจ่ายเงินตามที่ระบุไว้ในสัญญากู้ และพยานไม่ทราบว่าเช็คที่ระบุไว้ในสัญญากู้นั้นจะมีการสั่งจ่ายกันล่วงหน้าไว้หรือไม่ คดีจึงน่าเชื่อเจือสมด้วยข้อนำสืบของจำเลยที่ว่า ในวันทำหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.2 นั้น จำเลยมิได้ออกเช็คฉบับใดมอบแก่โจทก์ ดังนี้เมื่อเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับเป็นเช็คที่จำเลยออกให้แก่โจทก์ตั้งแต่ก่อนที่จะมีการจัดทำหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.2 แม้จำเลยจะนำสืบยอมรับว่า จำเลยทำหนังสือสัญญาดังกล่าวในวันที่ 7 มกราคม 2541 ดังที่โจทก์อ้างในฎีกา แต่เช็คพิพาทเหล่านี้ก็มิได้ออกเพื่อชำระหนี้เงินกู้ซึ่งเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย เนื่องเพราะขณะเวลาที่ออกเช็คพิพาทนั้นหนี้ดังกล่าวยังไม่มีหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จึงเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่ไม่อาจบังคับได้ตามกฎหมาย ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์นำเช็คอีก 2 ฉบับ ที่จำเลยออกพร้อมกับเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินไม่ได้ทั้งหมด แต่ก่อนฟ้องคดีจำเลยได้นำเงินไปชำระเช็ค 2 ฉบับดังกล่าวให้แก่โจทก์แล้วนั้น เห็นว่า แม้จำเลยชำระเงินตามเช็ค 2 ฉบับ ดังกล่าวให้แก่โจทก์ก็มิใช่ข้อพิสูจน์ว่าเช็คทั้ง 6 ฉบับ ดังกล่าวนี้มีมูลหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายดังที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้น ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยขาดองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2543 มาตรา 4 ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น” พิพากษายืน ( พินิจ สายสอาด - อร่าม เสนามนตรี - อร่าม แย้มสอาด )
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2011-08-23 18:46:11 |
ความคิดเห็นที่ 4 (3304868) | |
เรียน คุณ นาดา ควรแจ้งข้อหาฉ้อโกงไว้ก่อนครับ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น มโนธรรม วันที่ตอบ 2011-08-23 19:30:47 |
ความคิดเห็นที่ 5 (3305514) | |
กู้ยืมเงินนอกระบบมาจำนวนหนึ่ง แต่เจ้าหนี้กับทำสัญญาเป็นขายฝากทองแทน ทั้งทีไม่ได้ขายฝากทอง..แต่เจ้าหนี้ทำสัญญาปลอมขึ้นมา ต้องทำยังไง
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น puy (ruchadawan-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-08-30 13:31:31 |
ความคิดเห็นที่ 6 (3305749) | |
มีเพื่อนขอยืมบัตรอิออนไปผ่อนสินค้าราคา 23,000 บาท ผ่อนจำนวน 12 งวด แต่เพื่อนผ่อนได้แค่ 2 งวดและเลิกผ่อนต่อ ถ้าจะฟ้องร้องต้องทำยังไงดีคะ ไม่มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร แต่มีการบันทึกเสียงเวลาคุยกันเรื่องจะใช้คืนให้ แต่ยังไม่ได้คืนเลยค่ะ นัดแล้วนัดอีก ปิดเครื่องหนีเมื่อถึงเวลานัด หลักฐานชิ้นนี้สามารถเอาผิดได้มั้ยคะ?? | |
ผู้แสดงความคิดเห็น คนโดนเพื่อนโกง (unity17_kris-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-09-01 16:19:30 |
[1] |