สวัสดีครับ รบกวนขอคำปรึกษานะครับ (ผมเป็นบุตรจำเลยครับ)
เริ่มจากความจริงคือ:โจทก์มาถือครองทำนาในที่ดินน.ส.3 เพียงบางส่วน  ของจำเลย(2 ไร่จากทั้งหมด 8ไร่)ประมาณ 15 ปี   ต่อมาภายหลังจำเลยได้ออกโฉนดทั้งแปลง เป็นเวลากว่า 5 ปี  และล้อมรั้วเอาที่ดินคืน
โจทก์ฟ้องว่า : ที่ดินทั้งหมดเป็นมรดก  มารดาของโจทก์และมารดาจำเลย เป็นลูกพ่อแม่เดียวกัน โจทก์มีเอกสารสิทธ์ ส.ค.1 ที่ระบุชื่อของบิดาของมารดาของโจทก์(สมมติว่าชื่อ นาย ป.) ต่อมามีการออกเอกสารสิทธิ์ น.ส 3 จึงขอให้ใส่ชื่อจำเลยซึ่งเป็นญาติใกล้ชิดของโจทก์ไว้เพียงผู้เดียวก่อน  แต่โจทก์ยังคงครอบครองที่ดินครึ่งหนึ่ง 4 ไร่ มาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
จำเลยฟ้องแย้งว่า :
1.  โจทก์มาขออาศัยที่ดินจำเลยทำกินเพียง 2 ไร่เศษ   มิใช่ 4 ไร่ ตามที่กล่าวอ้าง และโจทก์ได้แบ่งผลประโยช์ให้จำเลย

2. ที่ดินดังกล่าวไม่ใช่มรดก( อ้างอิงตาม เอกสารการสำรวจที่ระบุใน น.ส 3 ก.และ มีพยานบุคคลจากทางราชการมาเบิกความด้วยว่าที่ดินดังกล่าวไม่มี ส ค 1)  และ รายละเอียดของ ส ค 1 ที่กล่าวอ้าง ระบุเนื้อที่   ที่ตั้ง  ไม่ตรงกับของโฉนด

3. และจำเลยนำสืบได้ว่า มารดาของโจทก์และมารดาจำเลยมิใช่ลูกพ่อแม่เดียวกัน  แต่เป็นลูกคนละพ่อ  และ นาย ป(เจ้าของเอกสารสิทธ์ ส.ค.1) .ก็เป็นบิดาของ  มารดาจำเลย  มิใช่บิดามารดาของโจทก์ตามที่กล่าวอ้าง  ซึ่งโจทก์ก็ยอมรับในชั้นสืบพยาน ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้โจทก์ชนะคดีโดยข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เป็นที่มรดกตามหลักฐาน ส ค 1 จำเลยอุทธรณ์:   ศาลอุทธรณ์ มีคำสั่งเพิ่มเติมให้รังวัดที่ดินที่พิพาท พบว่ามี 2 ไร่ 2 งาน
( มิใช่ 4 ไร่ ตามคำกล่าวอ้างของโจทก์) แต่ยังไม่ตัดสินคดี
 ** ขอความกรุณาชี้แนะด้วยครับ  ว่าถ้ายังแพ้ในชั้นศาลอุทธรณ์ อีก จะมีแนวทางต่อสู้อย่างไร คือไม่อยากให้คนขี้โกงได้ใจ  และอยากได้ที่ดินคืนด้วยครับ