โดนฟ้องบังคับดคี | |
รบกวนสอบถามครับ เรื่องมีอยู่ว่า กระผมไปค้ำรถให้คนรู้จักโคยเป็นคนค้ำประกันคนที่2 จึงตกเป็นจำเลยที่3 เรื่องคือรถยนต์คันนี้เกิดหายขึ้นมา จำเลยที่1เลยไม่ได้ส่งค่างวดเลยตั้งแต่รถหาย และพยายามติดต่อกับ บ. ประกันซึ่งรถได้ทำประกันชั้น1ไว้ แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ โดยอ้างว่าให้นำใบมอบอำนาจจากบริษัทลิสซิ่งไปแจ้งความรถหายก่อน ทาง บ.ลิสซิ่งก็ไม่ยอมออกใบมอบอำนาจให้ ซึ่งวันที่รถหายก็ได้มีการแจ้งความลงบันทึกประจำวันชี้จุดที่หาย แต่ก็ไม่สามารถที่จะเครมประกันได้ บ.ลิสซิ่งก็ไม่ยอมดำเนินการให้ ถ้าไม่นำเงินไปจ่ายค่างวดที่ค้างให้ครบก่อน จนมีหมายศาลมาที่บ้านกระผม โดยศาลนัดให้ไกล่เกลี่ยกัน กระผมก็ไปเซ็นไกล่เกลี่ยที่ศาล และเพิ่งทราบเรื่องทั้งหมดก็ตอนที่หมายศาลมาถึง ด้วยความไม่รู้ว่าการเซ็นไกล่เกลี่ยคือการรับสารภาพก็เลยเซ็นไป และต่อมาจำเลยที่ 1 และ ที่2 ซึ่งเป็นพ่อลูกกันก็ไม่ได้จ่ายค่างวดตามตกลงในศาล โดยอ้างว่านึกว่า บ.ลิสซิ่ง จัดการการเคลมประกันรถหายและเรื่องเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว จนมาเดือนนี้กระผมได้รับหนังสือจากบังคับคดี ซึ่งจะยึดบ้านกระผมขายทอดตลาด ทำให้กระผมกลุ้มมาก บ้านก็ยังติดจำนองธนาคาร ทำไมบ.ลิสซิ่งต้องมาเลือกบังคับคดีกับกระผม ซึ่ง จำเลยที่1 และ 2 ก็ยังไม่ได้หายไปไหน ทรัพย์สินก็มี และ เมื่อรถหาย บ.ลิสซิ่งซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์ที่เช่าซื้อ ทำไมไม่ดำเนินการเรื่องเครมประกันรถหาย ซึ่ง บ.ลิสซิ่งก็เป็นผู้จัดหา บ.ประกันให้ในตอนเช่าซื้อรถให้ และน่าจะเป็นหน้าที่ที่ควรกระทำอย่างยิ่งเพราะถือเป็นผลประโยชน์ของ บ. ตนเอง และถ้าอ้างว่าไม่เชื่อว่ารถหายจริง ทำไมไม่แจ้งความยักยอกทรัพย์กับจำเลยที่ 1 ขอถามพี่ทนายว่า กระผมสามรถที่จะอุธรณ์ต่อชั้นศาลได้หรือไม่ ว่า บ.ลิสซิ่งซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ให้เช่าซื้อรถยนต์ แต่เมื่อไม่มีทรัพย์ให้เช่าซื้อแล้ว ทำไมมาฟ้องบังคับคดีได้และไม่พยายามที่จะติดตามทรัพย์ที่ให้เช่าซื้อคืน และไม่ยอมเคลมประกันกรณีรถหายให้ และถ้าคิดว่าผู้เช่าซื้อโกหกเรื่องรถหาย ทำไมไม่แจ้งความยักยอกทรัพย์เพื่อติดตามรถที่ให้เช่าซื้อคืน เพราะเรื่องนี้กระผมเดือดร้อนมาก ขอความกรุณาพี่ทนายช่วยให้คำแนะนำด้วยครับ ขอบพระคุณพี่ทนายเป็นอย่างสูงครับ | |
ผู้ตั้งกระทู้ dew (dew4321-at-hotmail-dot-com) :: วันที่ลงประกาศ 2011-08-11 19:55:15 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (3315147) | |
ประเด็นแรกต้องทำความเข้าใจคำว่า "ค้ำประกัน" เสียก่อนครับ คุณไปค้ำประกันผู้อื่นก็เพื่อยืนยันกับเจ้าหนี้ว่า ถ้าลูกหนี้(ผู้เช่าซื้อ) ไม่ชำระหนี้ คุณในฐานะผู้ค้ำประกัน ตกลงจะชำระหนี้แทนให้เอง ผู้ค้ำประกันไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ถือว่าเป็นลูกหนี้ชั้นต้น มีศักดิ์ศรีในความเป็นลูกหนี้เท่ากับผู้เช่าซื้อครับ คำถามว่า ทางผู้ให้เช่าซื้อทำไมไม่ดำเนินการเคลมประกันให้ เขาไม่ใช่ผู้เอาประกันภัยจึงดำเนินการเคลมประกันไม่ได้ครับ คนที่เครมประกันภัยได้คือผู้เช่าซื้อ และเขาได้ติดต่อเคลมแล้ว แต่ติดที่ว่า ต้องมีใบแจ้งความรถหายครับ การที่ผู้ให้เช่าซื้อไม่ยอมออกใบมอบอำนาจให้โดยอ้างว่าให้ชำระค่าเช่าซื้อก่อนก็เป็นการบีบให้ชำระหนี้ก่อนนั่นเอง จะคิดว่าเป็นผลประโยชน์ของผู้ให้เช่าซื้อโดยตรงคงคิดผิดครับ เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าอาจบังคับชำระหนี้เอากับลูกหนี้ได้จึงไม่กระตือรือล้นที่จะดำเนินการ และก็ได้ผล เมื่อเขาฟ้องคดี จำเลยทั้งสองก็ยอมรับโดยทำสัญญาประนีประนอมยอมความว่าจะชำระหนี้ให้ ซึ่งจะอ้างว่าไม่รู้ไม่เข้าใจก็คงสายไปแล้วและฟังไม่ขึ้นด้วยครับ คำถามว่า สามารถอุทธรณ์ต่อศาลชั้นต้นได้หรือไม่ ตอบได้ว่า กฎหมายห้ามอุทธรณ์ครับเพราะเป็นการพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความครับ คำถามว่าทำไมไม่แจ้งความยักยอก ถ้าไม่เชื่อว่ารถหาย ก็เป็นสิทธิของเขาครับ เราจะไปบังคับให้เขาทำสิ่งใด ๆ ไม่ได้ เป็นสิทธิของเขา แต่หน้าที่ของผู้ค้ำประกันคือ ชำระหนี้แทนลูกหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น เนื่องจากจำเลยทั้งสามต้องร่วมกันรับผิดในหนี้ตามคำพิพากษา ถ้าเจ้าหนี้สะดวกที่จะบังคับคดีเอากับจำเลยคนใดง่ายและเป็นการสะดวกที่จะได้รับชำระหนี้ได้รวดเร็ว เจ้าหนี้ก็มีสิทธิเลือกบังคับคดีกับลูกหนี้คนนั้นก่อนได้ การไล่เบี้ย เอากับจำเลยหรือลูกหนี้อื่น ๆ เมื่อคุณได้ชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้แล้วคุณมีสิทธิฟ้องไล่เบี้ยเอากับผู้เช่าซื้อได้เต็มจำนวน และฟ้องไล่เบี้ยกับผู้ค้ำประกันคนที่ได้ครึ่งจำนวน เพราะผู้ค้ำประกันต้องรับผิดคนละครึ่งหรือรับผิดตามสัญญาค้ำประกันที่ทำไว้กับเจ้าหนี้ครับ
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-10-16 10:33:10 |
ความคิดเห็นที่ 2 (3315149) | |
ผู้ค้ำประกันย่อมไม่มีสิทธิเกี่ยงให้เจ้าหนี้เรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ก่อน กรณีของจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันซึ่งผูกพันตนต่อโจทก์เพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น จึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้เกินกว่าความรับผิดของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ แม้จำเลยที่ 2 จะทำสัญญาค้ำประกันระบุว่ายอมรับผิดชอบร่วมกับผู้เช่าซื้อทุกประการก็หมายความเพียงว่ากรณีทำสัญญาค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม หรือยอมรับผิดร่วมกับลูกหนี้ นั้น ความรับผิดของผู้ค้ำประกันคือ ถ้าผู้ค้ำประกันต้องรับผิดร่วมกับลูกหนี้ ผู้ค้ำประกันย่อมไม่มีสิทธิที่จะเกี่ยงให้เจ้าหนี้ไปเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ก่อน ไม่มีสิทธิขอให้เจ้าหนี้บังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินของลูกหนี้ก่อนและไม่มีสิทธิร้องขอให้เจ้าหนี้เอาทรัพย์ของลูกหนี้ที่ยึดถือไว้เป็นประกันมาชำระหนี้ก่อน เท่านั้น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8143/2548 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 72,947.44 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยทั้งสองชำระเต็มตามฟ้อง แต่เมื่อโจทก์ทิ้งฟ้องอุทธรณ์สำหรับจำเลยที่ 1 ความรับผิดของจำเลยที่ 1 จึงยุติเพียงเท่าที่ศาลชั้นต้นพิพากษาไว้ ดังนั้น จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันซึ่งผูกพันตนต่อโจทก์เพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น จึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้เกินกว่าความรับผิดของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ แม้จำเลยที่ 2 จะทำสัญญาค้ำประกันระบุว่ายอมรับผิดชอบร่วมกับผู้เช่าซื้อทุกประการก็หมายความเพียงว่ากรณีทำสัญญาค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม หรือยอมรับผิดร่วมกับลูกหนี้ นั้น ป.พ.พ. มาตรา 691 ได้บัญญัติถึงความรับผิดของผู้ค้ำประกันประเภทนี้ว่า "ถ้าผู้ค้ำประกันต้องรับผิดร่วมกับลูกหนี้ ท่านว่าผู้ค้ำประกันย่อมไม่มีสิทธิดังกล่าวไว้ในมาตรา 688, 689 และ 690" คือไม่มีสิทธิที่จะเกี่ยงให้เจ้าหนี้ไปเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ก่อน ไม่มีสิทธิขอให้เจ้าหนี้บังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินของลูกหนี้ก่อนและไม่มีสิทธิร้องขอให้เจ้าหนี้เอาทรัพย์ของลูกหนี้ที่ยึดถือไว้เป็นประกันมาชำระหนี้ก่อน เท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดชำระเงินแก่โจทก์ 132,947.44 บาท เกินกว่าความรับผิดของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ จึงเป็นการไม่ชอบ แม้จำเลยที่ 2 มิได้ยกขึ้นฎีกา แต่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และ 247 โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 272,517.37 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองให้การ ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้น พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 72,947.44 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 2542 ซึ่งเป็นวันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก โจทก์อุทธรณ์ คดีสำหรับจำเลยที่ 1 โจทก์วางเงินค่าพาหนะส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่จำเลยที่ 1 ขาดไป 100 บาท ศาลชั้นต้นแจ้งให้โจทก์วางเงินเพิ่มโดยวิธีปิดหมาย แต่โจทก์มิได้วางเงินเพิ่มจนเวลาล่วงเลยมานาน เป็นการเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลเห็นสมควรกำหนดเป็นการทิ้งอุทธรณ์ในส่วนของจำเลยที่ 1 ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 จากสารบบความ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดชำระเงินแก่โจทก์ 132,947.44 บาท และให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 2,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ประการแรกว่า โจทก์ทิ้งฟ้องอุทธรณ์สำหรับจำเลยที่ 1 ตามคำสั่งศาลอุทธรณ์หรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่า ในชั้นรับอุทธรณ์ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า รับอุทธรณ์ของโจทก์สำเนาให้จำเลยแก้ภายใน 15 วัน ให้โจทก์นำส่งภายใน 5 วัน ไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิดหากส่งไม่ได้ให้โจทก์แถลงเพื่อดำเนินการต่อไปภายใน 15 วัน นับแต่วันส่งไม่ได้ หากไม่แถลงให้ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องอุทธรณ์ และในวันเดียวกันโจทก์แถลงขอให้ศาลจังหวัดสมุทรปราการส่งหมายและสำเนาอุทธรณ์ให้แก่จำเลยที่ 1 โดยแนบตั๋วแลกเงินไปรษณีย์จำนวน 300 บาท เป็นค่าส่งหมาย ต่อมาศาลจังหวัดสมุทรปราการมีหนังสือส่งหมายนัดและสำเนาอุทธรณ์กับตั๋วแลกเงินไปรษณีย์จำนวน 300 บาท คืนศาลชั้นต้นและแจ้งว่าไม่สามารถส่งหมายให้แก่จำเลยที่ 1 ได้เนื่องจากยังขาดค่าพาหนะอีกเป็นเงิน 100 บาท เมื่อศาลชั้นต้นมีหมายแจ้งคำสั่งของศาลชั้นต้นให้ทนายโจทก์ทราบว่าอัตราค่าส่งหมายให้จำเลยที่ 1 ยังขาดค่าพาหนะอีก 100 บาท ให้นำเงินค่าพาหนะมาวางเพิ่มตามรายงานลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2544 และโจทก์ได้รับหมายดังกล่าวโดยชอบแล้วด้วยวิธีปิดหมายวันที่ 5 มิถุนายน 2544 ย่อมมีผลว่าโจทก์ได้ทราบคำสั่งศาลชั้นต้นแล้วในวันที่ 20 มิถุนายน 2544 โจทก์มีหน้าที่ต้องนำค่าพาหนะเพิ่มมาวางศาลตามที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง เนื่องจากศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้โจทก์เป็นผู้จัดการนำส่ง ดังนั้น นอกจากโจทก์จะต้องเสียค่าธรรมเนียมในการส่งแล้ว โจทก์ยังมีหน้าที่จัดการนำส่งสำเนาอุทธรณ์ด้วย ซึ่งในคดีนี้เป็นการส่งสำเนาอุทธรณ์ข้ามเขตศาลและโจทก์ไม่ไปจัดการนำส่ง จึงต้องเสียเงินค่าพาหนะในการนำส่งให้เจ้าหน้าที่ศาลให้ครบถ้วน การที่โจทก์ไม่นำเงินค่าพาหนะเพิ่มมาวางศาลตามที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง จึงเป็นการไม่ดำเนินการภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดเพื่อการนำส่งสำเนาอุทธรณ์ซึ่งนับแต่วันที่โจทก์ทราบคำสั่งจนถึงวันที่ 3 กันยายน 2544 ที่เจ้าหน้าที่ศาลรายงานว่าโจทก์ไม่ได้วางเงินค่าพาหนะเพิ่มและศาลชั้นต้นสั่งให้ส่งรายงานเจ้าหน้าที่ไปยังศาลอุทธรณ์ เป็นเวลา 2 เดือนเศษ และเมื่อนับถึงวันที่อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ครั้งแรกวันที่ 26 สิงหาคม 2545 เป็นเวลา 1 ปีเศษ โจทก์มิได้ดำเนินการนำเงินค่าพาหนะเพิ่มอีก 100 บาท มาวางตามคำสั่งศาล ถือว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลชั้นต้นเห็นสมควรกำหนด ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 174 (2) ประกอบมาตรา 246 ที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องอุทธรณ์สำหรับจำเลยที่ 1 ชอบแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างอื่น ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ต่อไปว่า จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามฟ้องเพียงใด เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 72,947.44 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 2542 ซึ่งเป็นวันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยทั้งสองชำระเต็มตามฟ้อง เมื่อคดีนี้วินิจฉัยแล้วว่าโจทก์ทิ้งฟ้องอุทธรณ์สำหรับจำเลยที่ 1 ตามที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งและให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 จากสารบบความ ดังนั้น ความรับผิดของจำเลยที่ 1 จึงยุติเพียงเท่าที่ศาลชั้นต้นพิพากษาไว้ ดังนั้น กรณีของจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันซึ่งผูกพันตนต่อโจทก์เพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น จึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้เกินกว่าความรับผิดของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ แม้จำเลยที่ 2 จะทำสัญญาค้ำประกันระบุว่ายอมรับผิดชอบร่วมกับผู้เช่าซื้อทุกประการก็หมายความเพียงว่ากรณีทำสัญญาค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม หรือยอมรับผิดร่วมกับลูกหนี้ นั้น ป.พ.พ. มาตรา 691 ได้บัญญัติถึงความรับผิดของผู้ค้ำประกันประเภทนี้ว่า "ถ้าผู้ค้ำประกันต้องรับผิดร่วมกับลูกหนี้ ท่านว่าผู้ค้ำประกันย่อมไม่มีสิทธิดังกล่าวไว้ในมาตรา 688, 689 และ 690" คือไม่มีสิทธิที่จะเกี่ยงให้เจ้าหนี้ไปเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ก่อน ไม่มีสิทธิขอให้เจ้าหนี้บังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินของลูกหนี้ก่อนและไม่มีสิทธิร้องขอให้เจ้าหนี้เอาทรัพย์ของลูกหนี้ที่ยึดถือไว้เป็นประกันมาชำระหนี้ก่อน เท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดชำระเงินแก่โจทก์ 132,947.44 บาท เกินกว่าความรับผิดของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้จึงเป็นการไม่ชอบ แม้จำเลยที่ 2 มิได้ยกขึ้นฎีกา แต่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบ มาตรา 246 และ 247 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว ฎีกาข้ออื่นของโจทก์จึงไม่จำต้องวินิจฉัยอีกต่อไปเพราะไม่มีผลเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาเป็นอื่น พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ. ( สถิตย์ ทาวุฒิ - สุรพล เจียมจูไร - เฉลิมศักดิ์ บุญยงค์ ) ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ - นายปฏิกรณ์ คงพิพิช
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2011-10-16 11:08:22 |
[1] |