

ปลอมเอกสารและนำเอกสารปลอมไปลักทรัพย์ของนายจ้าง, บรรยายฟ้องไม่ยืนยันเวลากระทำความผิด ปลอมเอกสารและนำเอกสารปลอมไปลักทรัพย์ของนายจ้าง, บรรยายฟ้องไม่ยืนยันเวลากระทำความผิด โจทก์บรรยายฟ้องที่ไม่ยืนยันการกระทำความผิดของจำเลยว่าเกิดขึ้นในเวลากลางวันหรือเกิดในเวลากลางคืนเมื่อจำเลยให้การรับสารภาพข้อเท็จจริงก็คงรับฟังได้เพียงว่าจำเลยลักทรัพย์นายจ้างตามฟ้องเท่านั้นไม่อาจจะรับฟังได้แน่ชัดว่าจำเลยกระทำความผิดในเวลากลางวันหรือกลางคืนถือว่าจำเลยไม่ได้ให้การรับสารภาพในส่วนนี้โดยชัดแจ้งเมื่อโจทก์แถลงไม่ติดใจสืบพยานศาลจะรับฟังข้อเท็จจริงให้เป็นโทษแก่จำเลยไม่ได้คงฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์นายจ้างในเวลากลางวันเท่านั้น ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าการที่จำเลยปลอมเอกสารสิทธิใบถอนเงินผู้เสียหายแล้วใช้เอกสารสิทธิปลอมก็ด้วยเจตนาเพื่อจะเอาเงินที่อยู่ในครอบครองของผู้เสียหายซึ่งเป็นนายจ้างไปเป็นของตนโดยทุจริตจึงการกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานลักทรัพย์นายจ้างในเวลากลางคืนซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายคราวหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปลงโทษจำคุกกระทงละ 2 ปี รวม 14 กระทง จำคุก 28 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 14 ปี จำเลยฎีกาขอรอการลงโทษจำคุก การที่จำเลยอาศัยโอกาสที่นายจ้างให้ความไว้วางใจแล้วลักทรัพย์นายจ้างไปเป็นเงิน 351,002.13 บาท นับว่าเป็นจำนวนที่ค่อนข้างมาก และแสดงถึงความไม่ซื่อสัตย์สุจริตและเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรงไม่มีเหตุสมควรจะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5454/2553 คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องกล่าวหาจำเลยว่า จำเลยปลอมเอกสารและนำเอกสารปลอมไปลักทรัพย์ของนายจ้าง โดยเหตุเกิดเมื่อระหว่างวันที่ 14 กรกฎาคม 2548 เวลากลางคืนหลังเที่ยง ถึงวันที่ 2 ตุลาคม 2548 เวลากลางคืนหลังเที่ยงอันเป็นการบรรยายฟ้องที่ไม่ยืนยันการกระทำความผิดของจำเลยว่าเกิดขึ้นในเวลากลางวันหรือเกิดในเวลากลางคืน อันเป็นเหตุฉกรรจ์ที่ทำให้จำเลยต้องได้รับโทษหนักขึ้น เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพว่ากระทำความผิดตามฟ้อง ข้อเท็จจริงก็คงรับฟังได้เพียงว่าจำเลยลักทรัพย์นายจ้างตามฟ้องเท่านั้น แต่ไม่อาจจะรับฟังได้แน่ชัดว่าจำเลยกระทำความผิดในเวลากลางวันหรือกลางคืน ถือว่าจำเลยไม่ได้ให้การรับสารภาพในส่วนนี้โดยชัดแจ้ง จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบพิสูจน์ความผิดของจำเลยดังกล่าว เมื่อปรากฏว่าโจทก์แถลงไม่ติดใจสืบพยาน ศาลจะรับฟังข้อเท็จจริงให้เป็นโทษแก่จำเลยไม่ได้ คงฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์นายจ้างในเวลากลางวันเท่านั้น ที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทลงโทษจำเลยว่ากระทำความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนตาม ป.อ. มาตรา 335 (1) ด้วยจึงไม่ชอบ ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265 ประกอบมาตรา 268 และมาตรา 335 (1) (11) (ที่ถูก มาตรา 265, 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265, 335 (1) (11) วรรคสอง) การที่จำเลยปลอมเอกสารสิทธิใบถอนเงินผู้เสียหายแล้วใช้เอกสารสิทธิปลอมดังกล่าวก็ด้วยเจตนาเพื่อจะเอาเงินที่อยู่ในครอบครองของผู้เสียหายซึ่งเป็นนายจ้างไปเป็นของตนโดยทุจริต การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานลักทรัพย์นายจ้างในเวลากลางคืนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1) (11) (ที่ถูก มาตรา 335 (1) (11) วรรคสอง) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ลงโทษจำคุกกระทงละ 2 ปี รวม 14 กระทง จำคุก 28 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 14 ปี ที่โจทก์ขอให้จำเลยคืนหรือชดใช้เงินแก่ผู้เสียหายได้ความตามรายงานการสืบเสาะและพินิจของจำเลยว่าผู้เสียหายได้รับคืนจากจำเลยครบถ้วนแล้ว จึงยกคำขอในส่วนนี้ จำเลยอุทธรณ์ จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง มาตรา 158 ฟ้องต้องทำเป็นหนังสือ และมี มาตรา 195 ข้อกฎหมายทั้งปวงอันคู่ความอุทธรณ์ร้องอ้างอิงให้แสดงไว้โดยชัดเจนในฟ้องอุทธรณ์ แต่ต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นมาว่ากันมาแล้วแต่ในศาลชั้นต้น มาตรา 225 ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณา และว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งชั้นอุทธรณ์มาบังคับในชั้นฎีกาโดยอนุโลม เว้นแต่ห้ามมิให้ทำความเห็นแย้ง |